ลมทะเลที่พัดมากระทบหน้า เสียงคลื่นที่ซัดมากระทบฝั่ง
ท้องฟ้ายามนี้เป็นสีส้มอมชมพู ส่งสัญญาณให้รู้ว่า..
ถึงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลาไปพักผ่อน
ช่วงเวลาแห่งความสงบ บรรยากาศคุณภาพระดับพรีเมียมแบบนี้
แค่ได้ไปนั่งโง่ๆ อยู่ตรงนั้น ก็สุขใจ
เหลือทนกับช่วงเวลาเร่งด่วนที่ต้องแปลงร่างเป็นปลากระป๋องเบียดอัดกันขึ้นรถไฟฟ้า
ก็เลยอยากจะพาตัวเองไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่ไหนสักแห่ง
ที่ที่ไม่วุ่นวาย ที่ที่ธรรมชาติให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
และ จังหวัดสตูล คือคำตอบของการพักผ่อนในครั้งนี้
โจทย์ของเรามีอยู่ว่า..อยากไปสตูล แต่ไม่ใช่หลีเป๊ะ อยากไปอันดามันในช่วงมรสุม
อยากไปโฮมสเตย์แบบบ้านๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ อยากไปเรียนรู้วิถีชีวิตชาวเล แล้วมันไปที่ไหนได้บ้างน้อออออ..
Search Search Search..อืม เกาะสาหร่าย น่าสนใจ และที่นี่จะมีโฮมสเตย์มั๊ยน๊าาา
ทาด้าาาา..เจอแล้วววว บ้านบากันใหญ่ โฮมสเตย์ และ รักษ์เล โฮมสเตย์ สองที่นี้แหละ ตอบโจทย์ทุกอย่างของเราทริปนี้เราใช้เวลา 3 วัน 3 คืน กับ 2 โฮมสเตย์สุดชิว บน 2 เกาะที่ไม่ลึกและไม่ลับ
ขนาดหนีไปเป็นชาวเกาะอยู่กลางทะเลตั้ง 2 คืน สัญญาณดีแทค ก็ยังตามไปด้วยกันตลอดเลยจ้า คลื่นแรงสมกับอยู่ทะเลจริงๆLocation
• บากันใหญ่ โฮมสเตย์ เกาะบากันใหญ่ ติดต่อ : บังอดุลย์ 081 541 9448
https://goo.gl/KTK0WW
• รักษ์เล โฮมสเตย์ เกาะสาหร่าย ติดต่อ : คุณนิต 085 796 7783
https://goo.gl/C6UAC6การเดินทาง
• ขาไป : รถทัวร์สายใต้ใหม่ (ออกเดินทางเย็นวัศุกร์) แล้วไปลงให้ใกล้ท่าเรือบ้านทุ่งริ้น อ.ท่าแพ จ.สตูล ให้ได้มากที่สุด
จากนั้นก็หารถต่อไปที่ท่าเรือบ้านทุ่งริ้น เพราะการพักผ่อนสุดชิวของเราจะเริ่มต้นที่ท่าเรือนี้
• ขากลับ : Air Asia สายการบินราคาประหยัด มาตราฐานเลิศ จองล่วงหน้าไม่ถึง 3 สัปดาห์ ได้ราคาเท่ารถทัวร์ขามาเลยสัญญาณโทรศัพท์
Dtac สัญญาณดี๊ดี 4G จัดเต็ม check in ได้ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งเกาะกลางทะเล
มาๆๆ ได้เวลาแล้ว เรามาออกเดินทางไปพร้อมกันเล้ยยยย
บ้านบากันใหญ่ โฮมสเตย์
ความสงบท่ามกลางธรรมชาติ เดินเล่นบนสันหลังมังกรแดง
เรียนรู้วิถีชีวิตชาวเล นอนฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ดาวเต็มฟ้ายามค่ำคืน
ทั้งหมดนี้คือ บากันใหญ่ ที่เราได้ไปสัมผัสมา
เราได้ติดต่อกับบังอดุลย์ เจ้าของโฮมสเตย์โดยตรง เลยมั่นใจว่าที่นี่สามารถเดินทางไปได้
แม้จะเป็นช่วงมรสุมของทะเลฝั่งอันดามันก็ตาม
“น้องฝ้ายที่มาจากกรุงเทพฯ ใช่มั๊ยครับ” คำทักทายแรกจากบังอดุลย์ เมื่อแรกพบกัน บังมารอต้อนรับเราบริเวณท่าเรือทุ่งริ้น
ดีที่ดีแทคมีสัญญาณจึงทำให้เราไม่พลาดการติดต่อกับบังอดุลย์ ไม่งั้นต้องแย่แน่เลย
ต้องลงเรือจากท่านี้ เพื่อเดินทางไปยังบ้านบากันใหญ่ปลายทางของเราในวันนี้ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง
ป่ะ!! ลงเรือ แล้วออกเดินทางกันเล้ยยย
วันนี้ฟ้าใสมากกกกก ชมวิวเพลิน ๆ ระหว่างทาง
เมื่อมาถึงท่าเรือบ้านบากันใหญ่ บังมีนก็ขับสามล้อพ่วงมารอเราอยู่ที่ท่าเรือ
ขนกระเป๋าขึ้นรถ แล้วแว๊นนนไปยังจุดหมายปลายทางของเรา
ที่นี่ไม่รถเก๋ง ไม่มีรถกะบะ พาหนะใหญ่สุดที่ใช้สัญจรบนบก เห็นทีจะเป็นสามล้อพวงข้างนี่ละ
“รอยยิ้ม” เป็นสิ่งแรกที่แสดงถึงมิตรไมตรี และการต้อนรับที่อบอุ่นของผู้คนที่นี่
แม้จะต่างศาสนา ต่างสำเนียง แต่ “การต้อนรับด้วยรอยยิ้ม” ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ
หลังจากใช้เวลาเดินทางกันมายาวนาน ถึงซะทีสินะ บ้านบากันใหญ่ โฮมสเตย์
วันนี้มีแค่เราที่มาพักที่นี่ บังเลยให้เราเลือกบ้านพักได้ตามใจชอบ
บ้านพักที่นี่มีไม่มากนัก มีทั้งแบบห้องน้ำในตัว และไม่มีห้องน้ำ
สำหรับบ้านพักที่สร้างบนฝั่งทุกหลังจะมีห้องน้ำในตัว หน้าตาก็ประมาณนี้แหละ จะหันหน้าออกทะเล น่ารักน่าพักใช่มั๊ยล่ะ
ส่วนสองหลังนี้สร้างยื่นเข้าไปในทะเลจะไม่มีห้องน้ำในตัวนะคะ ต้องเดินมาเข้าบนฝั่ง (เดินนิดเดียวก็ถึง)
เนื่องจากว่าบริเวณนั้นเค้าใช้เป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงหอยนางรม ถ้ามีสิ่งปฏิกูลลงไปปะปน จะทำให้ระบบนิเวศน์เสียเอาได้
ชุมชนนี้นอกจากจะเคร่งครัดเรื่องศาสนา (มุสลิม) แล้ว ยังจริงจังมากเรื่องการรักษาระบบนิเวศน์ น่ายกให้เป็นชุมชนต้นแบบจริงๆ
และบ้านพักหลังสุดท้าย จะอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล
ไกลผู้ไกลคน ไม่มีห้องน้ำในตัว ปวดฉี่ทีก็ต้องเดินขาละ 100 เมตร ไปกลับก็ 200 เมตร แต่ดูสิแกรรรรร คือมันดีอ่ะ
ขี้เกียจๆ อย่างเราเลือกหลังไหนหนะหรอ
หึหึหึ..ก็ต้องหลังนี้เสะะะะะะะะะ
เอาวะ!! คิดจะฟิน ก็ต้องฟินให้สุด เดินมาราธอนไปเข้าห้องน้ำยามดึกก็ยอม
เอาของเข้าไปเก็บ แล้วออกไปดูสันหลังมังกรกัน
บ้านพักน่ารัก บรรยากาศน่าหลงใหลขนาดนี้ ต้อง Check in โชว์ให้โลกรู้สักหน่อย
บนเกาะแบบนี้ ยังมีสัญญาณดีแทคโชว์เพื่อนได้สบาย ๆ
สันหลังมังกรแดง
“ที่เมืองพระสมุทรเทวาอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อน้ำลดเราจะได้เห็นแนวสันทรายคล้ายมังกรโผล่พ้นน้ำทะเล
ราวกับมังกรกำลังพลิ้วกายแหวกว่ายอยู่กลางทะเล
เมื่อได้เห็น…
ให้ไปยืนอยู่บนสันทรายเกล็ดมังกรนี้ แล้วรับพลังบริสุทธิ์จากฮวงจุ้ยแห่งท้องทะเล
จะช่วยเติมเต็มพลังกายพลังใจให้กับทุกร่างกายและจิตใจ ที่อ่อนล้าให้กลับมาเข้มแข็งพร้อมสู้ต่อไป”
cr : โครงการเขาเล่าว่า ททท.
ไม่ไกลจากบริเวณที่พัก ก็จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ท้องทะเลที่แหวกตัวออกมา
จนเผยให้เห็นหาดทรายสีแดงที่ทอดตัวยาว คดไปโค้งมา จนมีลักษณะคล้ายสันหลังของมังกร
ที่กำลังจะโผล่พ้นทะยานตัว ขึ้นมาจากผืนน้ำ
สั น ห ลั ง มั ง ก ร แ ด ง … จัดได้ว่าเป็นไฮไลต์ของที่นี่
ทะเลแหวกสันหลังมังกรในจังหวัดสตูล มีด้วยกันทั้งหมด 9 แห่ง
แต่ที่บ้านบากันใหญ่แห่งนี้ จะพิเศษกว่าที่อื่น เพราะเป็น ทะเลแหวกสันหลังมังกรสีแดง
เปรียบได้กับมังกรหนุ่มที่แข็งแรง ห้าวหาญทรงพลัง คอยคุ้มกันมังกรสาว (สันหลังมังกรสีขาว) อีก 8 ตัว
ได้เวลาที่เราจะได้ไปสัมผัสกับสันหลังของมังกรกันแล้วหละ
แนวการซัดของคลื่นลักษณะนี้ ถือเป็นจุดกำหนดของ ทะเลแหวกสันหลังมังกร
อู้วววววววว….ธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ Unseen In Satun มากๆ
ขอรับพลังจากสันหลังมังกรแพรบบ
ต้นลำพูขนาดใหญ่ ขึ้นอยู่มากมายบริเวณสันหลังมังกร และชายฝั่งโดยรอบหมู่บ้าน คอยสร้างความร่มเย็นให้กับที่นี่
ก่อให้เกิดเป็นภูมิทัศน์ที่แปลกตา เมื่อได้มาอยู่ตรงนี้ก็ให้ความรู้สึกสบายใจ
ลักษณะรากของต้นลำพูจะมีเอกลักษณ์มาก รากแบบนี้เค้าเรียกว่า ร า ก ห า ย ใ จ นะจ๊ะ (รากของพรรณไม้ป่าชายเลน)
หลังจากได้ทำความรู้จักกับและได้รับพลังจากสันหลังมังกรกันอย่างหนำใจแล้ว
ก่อนฟ้าจะมืด เราไปปั่นจักรยานเล่นกันดีกว่า
ปั่นจักรยานเล่นรอบเกาะ นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของที่นี่
ปั่นปั่น จักยานไป ปั่นปั่น จักรยานกัน
“ปั่นจักรยาน ชมวิถีชีวิตและบ้านเรือน ไปเยี่ยมเยือนสวนยาง”
พระอาทิตย์ใกล้จะลับของฟ้าเต็มที รีบเร่งสปีดปั่นจักรยานกลับไปสัมผัสช่วง Romantic Time ที่บ้านพักกันดีกว่า
Romantic Time
หลังจากออกไปปั่นจักรยานเล่นกัน (เกือบ) รอบเกาะ ก็กลับมาถึงที่พักทันช่วงเวลาคุณภาพพอดี
ช่วงเวลาคุณภาพ ช่วงเวลาที่ดีต่อใจ ช่วงเวลาที่นั่งเฉยๆ ก็มีความสุข นั่นคือ..ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน
ท้องฟ้าสีส้มอมชมพูที่ขยันวาดลวดลายออกมาให้เราได้ชม ไม่เคยซ้ำกันเลยสักวัน
กำลังสาดแสงสุดท้ายของวัน เคียงคู่อยู่กับท้องทะเลสีครามยามเย็นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
เห็นแบบนี้ แ ค่ นั่ ง โ ง่ ๆ ก็ สุ ข ใ จ
หลังจากอิ่มเอมกับความสุขใจที่ธรรมชาติมอบให้ คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องทำให้ท้องอิ่มกันบ้าง
มาที่นี่ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูไหน ก็จะมีปูให้กินตลอด เพราะหมู่บ้านนี้มีธนาคารปูอยู่จ้า
กับข้าวก็มีประมาณ 3-4 อย่างรวมปู ไอ้ปูกล้ามดำๆ นี่เค้าเรียกว่าปูใบ้นะคะ จะกินกันเฉพาะตรงกล้าม ไม่กินตัว
เอ้า!!! ได้เวลา อาหารเย็น ฮาาาาาาาา
ให้มาซะเยอะกินกันไม่หมดเลยจ้า ปกติที่นี่ตกดึกยังมีซีฟู๊ดปิ้งย่างให้อีกมื้อด้วยนะ
แต่ช่วงที่เราไปตรงกับวันฮารีรายอ (วันสำคัญทางศาสนาอิสลามพอ) พอดี
ซึ่งเป็นวันที่ทุกคนจะหยุดทำงาน เป็นวันหยุดราชการของชายแดนใต้ และด้วยบ้านบากันใหญ่เป็นมุสลิม 100%
ชาวบ้านเลยหยุดออกเรือหาปลากัน ซีฟู๊ดปิ้งย่างมื้อค่ำของเราจึงไม่มี ฮือออออออ…
กินอิ่มแล้ว..ก็ได้เวลาพักผ่อนกินลมชมบรรยากาศกันไปให้อิ่มอกอิ่มใจ
ข้อย่ำอีกครั้งนะคะ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เมื่อมาที่นี่ เนื่องจากเป็นชุมชนมุสลิมที่เคร่งศาสนามาก
มาบ้านเค้าเมืองเค้าก็ต้องเคารพกฎของเค้าอะนะ ดื่มด่ำธรรมชาติไปแทนละกัน
แล้วโหลดเพลงใส่มือถือนั่งฟัง โอ๊ย..ชิวเป็นบ้า
ที่นี่ไม่มี wifi แต่มี สัญญาณ Dtac แรงชัดแจ๋วแหวว 4G ก็ใช้ได้ ช่วยให้เพลิดเพลินขึ้นอีกเยอะ
ยามค่ำคืน
คืนนี้เป็นคืนที่ดวงจันทร์สว่างไสวมากกกกก
“ตื่นๆๆๆ ออกมาถ่ายดาวกัน เอาขาตั้งกล้องออกมาด้วยนะคะ ดาวเต็มฟ้าเลย”
ถือเป็นโชคดีของเราที่เลือกพัก Villa หลังน้อยไม่มีห้องน้ำในตัว ที่ยื่นออกมาในทะเลหลังนี้
เพราะเวลาปวดฉี่ต้องเดินไปประมาณ 100 เมตร เพื่อจะเข้าห้องน้ำ
แล้วดันปวดฉี่ตอนดึกไง ระหว่างเดินไปห้องน้ำก็อยากจะชมดาวชมเดือนไปด้วย
พอแหงนหน้ามองฟ้า เท่านั้นแหละ…ก็สตั๊นไปประมาณ 10 วิ หูยยยย!!! สวยจัง ดาวเต็มฟ้าเลย
และทั้งหมดนี้คือที่มาของภาพใบนี้ “เหตุเกิดขึ้นเมื่อตอนตีสาม” ขอยกให้เป็นชื่อของภาพนี้ก็แล้วกัน
วิถีชาวเล
เอ๊กอี้เอ๊กเอ๊ก…เช้าแล้ววววววว
ไปดูกันสิว่าพี่น้องบ้านนี้เค้าทำอะไรกัน ยามเช้าพี่ผู้ชายจะออกเรือไปเก็บแหที่ทอดไว้แต่เมื่อวาน
ส่วนพี่แม่บ้านผู้หญิงก็จะคอยรอแกะกุ้ง หอย ปู ปลา ที่ติดมา
กล้าๆ กลัวๆ อยากมีส่วนร่วมกับเค้าบ้างงง ฮาา
พี่สาวเค้าบอกให้เราเอาปลาปักเป้าไปปล่อยกลับทะเลหนะ
หืมมม..ปลาปักเป้า แล้วมันจะพองหนามใส่หนูมั๊ยจ๊ะพี่จ๋า
แล้วปักเป้าตัวจ้อยก็ได้กลับสู่ทะเลเป็นเรียบร้อยยยย
ฮาาาา..โฟกัสไปที่ปลาในมือนะ อย่ามาโฟกัสที่เหนียงงง เขินจัง >.<
เช้าอยู่หนะ หน้าก็เลยบวมๆ จริงหน้าเราเล็กนิดเดียวเอง ฮาาา
น้องๆ ที่นี่ไม่สักคนที่จะนั่งจ้องจดจ่ออยู่แต่กับจอมือถือ แต่น้องๆ ที่นี่เรียนรู้ที่ใช้ชีวิต และสร้างประสบการณ์ร่วมกันกับธรรมชาติ
ภาพแบบนี้มันหายได้ยากแล้วนะในสังคมเมืองยุคปัจจุบัน น่าเอ็นดูจริงๆ
หลังจากได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวเลกันแล้ว ก็มาทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ กัน เหนียวไก้จ้า เหนียวไก่ คือมื้อเช้าของเราในวันนี้
ทีนี้ก็มาถึงเวลาออกผจญภัยไปยังเกาะใกล้เคียง แถมได้ล่องเรือตามหาปลาพะยูนไปในตัวด้วย
พะยูน ปู๊น ปู๊น
“เฮ้ยๆ นั่นไง นั่นไง พะยูน 2 ตัวเห็นมั๊ย เห็นเปล่า” เสียงบังมีนตะโกนสำเนัยงใต้ ดังขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ไหนบัง พะยูนอยู่ไหน หนูไม่เห็นค่ะ” เราก็ตอบกลับไปแบบตื่นเต้นกว่า
บังมีนบอกให้บังอีกคนที่ขับเรือ ลดความเร็วลง แล้วขับวนอยู่แถวนั้นสักพัก
แล้วก็
แล้วก็
แล้วก็
V
V
V
ไม่เจอหวะ มันว่ายหนีไปแล้ว เฮ้อ!!! เสียดายจัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บังมีนนั่งสังเกตการณ์ปลาพะยูนอยู่หัวเรือ
เมื่อคลาดกันกับปลาพะยูน ก็รีบมุ่งหน้า ไปยังเกาะหินดำ
ใช้เวลานั่งเรือจากบ้านบากันใหญ่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง
ที่นี่ Unseen In Satun มากๆ เสียดายที่ยังไม่ค่อยเป็นี่รู้จักกัน
ใครจะไปรู้ว่าทะเลอันดามันของเราในอดีตเคยเป็นบริเวณปากปล่องภูเขาไฟมาก่อน
มันคือที่ไหนหนะหรอ??? มันก็คือที่นี่ไง ..เกาะหินดำ..
จะพบกับหินสีดำรูปร่างแปลกตาอยู่โดยรอบ จนทำให้ทัศนียภาพของที่นี่สวยงามแปลกตาตามไปด้วย
ตรงนี้เรียกว่า “หินตะปู” มักอยู่เป็นคู่ๆ แบบนี้
หลังจากใช้เวลาสำรวจเกาะนี้จนทั่วแล้ว ก็ออกเดินทางกลับไปศึกษาธรรมชาติที่บ้านบากันใหญ่กันต่อหินลูกช้าง
คืออีกหนึ่งแนด์มาร์คของที่นี่ และก็เป็นจุดเดินดูปะการังน้ำตื้น
เดินดูจริง ๆ อ่านไม่ผิดหรอก และเราก็พิมพ์ไม่ผิดด้วย ก็อยากที่เราบอกไว้ตอนต้น เรามาผิดช่ววงเวลาไง
เวลาไปที่นี่ต้องเชคเวลาน้ำขึ้น น้ำลงด้วยนะ จะได้เห็นทุกอย่างที่อยากเห็น
เนื่องจากวันนี้น้ำลงสุดก็แค่นี้เราเลยได้ดำน้ำตื้น (ตื้นมากๆๆๆๆ) ตามหาปะการังแทน
เนี่ยถ้ามาถูกช่วงจะได้เห็นแบบนี้
cr pic : บากันใหญ่โฮมสเตย์สตูล
ลำพูยักษ์และป่าโกงกาง
คือสิ่งที่บ่งชี้ว่าทรัพยากรธรรมชาติของที่นี่ยังคงสมบูรณ์อยู่
อุโมงค์ต้นลำพูยักษ์ ห้ามพลาดเชียวนะ ต้องมาเดินลอดอุโมงค์นให้ได้ เดี๋ยวเค้าจะหาว่ามาไม่ถึง
ในอุโมงค์ต้นลำพูยักษ์ ยังเป็นที่อยู่ของค้างคาวด้วย
ไหน..เห็นค้างคาวกันกี่ตัว
จากนี้ก็ได้เวลาออกเดินทางไปบ้านเกาะสาหร่ายกันแล้วละ
บังมีนให้เรือมาส่งเราที่ท่าเรือบ้านเกาะสาหร่ายเลย ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึง
บ๊ายบาย..บากันใหญ่ไว้มีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมอีกนะ
ชาวเกาะสาหร่าย ประมาณ 98% จะเป็นมุสลิม ส่วนที่เหลือก็จะนับถือพุทธ
เกาะนี้นี้มีทั้งวัด ทั้งมัสยิดนะคะ ที่นี่เงียบ สงบดี ชอบๆ
ท่าเรือนี้ก็เปรียบเสมือประตูบ้านของเกาะสาหร่ายแห่งนี้
มาถึงก็มี 3 ล้อพ่วงข้างมารอรับเรา จากท่าเรือนั่งสามล้อไปไม่เกิน 5 นาที
ก็จะถึงปลายทางของเราในวันนี้ รักษ์เล โฮมสเตย์
วันนี้มีคนมาพักแค่สองห้อง เลยมีความเป็นส่วนตัวมากๆ เจ้าของ (ปลัด อบต.) มาบริการเองเลย
อีกเช่นเคย เนื่องจากมีมาพักแค่สองห้อง และเรามาก่อน ก็เลยเลือกห้องพักได้ตามใจชอบ
ห้องที่เราเลือกอยู่ตรงมุมพอดี ตอนพระอาทิตย์ตกดินนี่ บรรยากาศดีมากกกกก
หลังจากเก็บของ พักผ่อนสักพัก ก็ออกไปขี่มอเตอร์ไซด์เล่นรอบเกาะกัน (ฟรีไม่เสียเงินเพิ่ม ดี๊ดี)
เกาะสาหร่ายเป็นเกาะเล็กๆ เรื่องหลงทางนี่ไม่ต้องกลัวเลยนะ
สัญญาณดีแทคแรงขนาดนี้เปิด GPS เอาสิจ๊ะ
นอกจากจะไม่หลงแล้ว ยังไม่พลาดจุดสำคัญๆ บนเกาะอีกด้วย
อยากรู้ความเป็นมาของที่นี่ก็เปิดเน็ตหาข้อมูลกันไป 4G เร็วปู๊ดป๊าดไม่ขัดใจสะพานปลา ระหว่างทาง พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน บรรยากาศดีมาก
กลับมาที่พักก็เริ่มหิว แต่ก่อนจะถึงเวลาอาทิตย์เย็น ของพายเรือเล่นก่อนละกัน (ฟรีอีกแล้ว)Sunset Time
ดูดิ๊…นั่งมองแสงสุดท้ายของวัน สัมผัสกลิ่นไอของทะเล ฟังเสียงคลื่นซัดสาด สูดอากาศดีๆ
ลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่โคตรอร่อย จิบน้ำชาเย็นเจี๊ยบให้พอชื่นใจ
คือบรรยากาศดี อาหารอร่อย มันดีมากอ่าาา อิ่มท้อง อิ่มใจ อิ่มสุข อิ่มบรรยากาศกันเลยทีเดียว
ห้องที่เราพักสัญญาณ Wifi มันมาไม่ค่อยถึงอ่ะ แต่โชคดีที่มี Dtac มาเป็นเพื่อนกัน
อัพภาพโชว์เพื่อนได้สบายบรื๋อ ไม่ต้องง้อ Wifi
สันหลังมังกร (ขาว)
เช้าวันใหม่เราจะไปตามหาสันหลังมังกร (ขาว) กัน โปรแกรมนี้เราซื้อแพคเกตเสริมกับทางโฮมสเตย์ค่ะ
ใช้เวลานั่งเรือมาไม่นานก็ถึงเกาะที่มีสันหลังมังกรขาว ที่นี่ Unseen in Satun อีกแล้ว
พื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะเกิดจากซากเปลือกหอยดึกดำบรรพ์ อัดตัวกันแน่นจนกลายเป็นเกาะอยู่กลางทะเล
กว้างใหญ่ไม่เบา Unseen สุดๆ
ส่วนบริเวณที่เกิดเป็นหลังมังกรจะเป็นเม็ดทรายสีขาวที่ทอดยาวออกไปกลางทะเล
คดไป โค้งมา คล้ายกับหลังของมังกรที่กำลังแหวกว่ายอยู่กลางทะเล
แต่ช่วงที่เราไป เป็นจังหวะที่น้ำยังไม่ลงคะ มังกรที่ตั้งใจตามหาจึงไม่ยอมมาตามนัด
และแนวคลื่นแบบนี้ คือจุดกำเนิดของความ Unseen คือ จุดกำเนิดของ สั น ห ลั ง มั ง ก ร
เกาะมอขาว (สุสานหอย)
ไม่จากสันหลังมังกรเราก็มาถึงเกาะมอขาว (สุสานหอย) เกาะแห่งนี้เกิดจากซากเปลือกหอยดึกดำบรรพ์ล้วนๆ
เท่าที่เห็นไม่มีทรายผสมอยู่เลยแม้แต่น้อย ที่นี่มีต้นไม้ขึ้นด้วย เราขอยกให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่ง Unseen ของสตูลละกัน
ซากเปลือกหอยทอดยาวไกลสุดตา มองดูคล้ายกับอัฒจันทร์เชียร์กีฬา ธรรมชาติหัศจรรย์จริงๆ
และที่นี่คือสถานที่ Unseen In Satun ที่สุดท้ายของเราในทริปนี้
แต่จัดหวัดนี้ยังมีอีกหลายที่ที่เรายังไปไม่ถึง
ส่วนตอนนี้..หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ
เสียงกาลเวลาแจ้งเตือนว่าถึงเวลาต้องกลับบ้าน
จะสนุกเท่าได้ออกไปสัมผัสมันด้วยตัวเองหรอกนะคะ
สำหรับเรา..การเดินครั้งนี้ทำให้รู้ว่าจังหวัดสตูลมีสถานที่ต่างๆ ที่น่าออกไปทำความรู้จักอยู่อีกมากมาย
และเมื่อออกไปสัมผัสแล้ว ก็ได้แต่ร้อง Wowww ให้กับความงดงามที่ได้พบเจอ
เพราะไม่รู้จะอธิบายถึงความอลังการ และความมหัศจรรย์นั้นออกมายังไง
ลองไปดูสักครั้งนะคะ ลองไปค้นหา Unseen In Satun ดูสักครั้ง
แล้วจะรู้ว่า “สตูล..ครั้งเดียวคงไม่พอ”
Special Thanks
ขอขอบคุณพี่นัทกับน้องนา สหายอันดามันของเรา ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งก็ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นกลับมาเสมอ
ขอบคุณที่คอยอำนวยความสะดวกต่างๆ นาๆ และขอบคุณที่พาเราไปเที่ยว
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
และที่ขาดไม่ได้..ขอขอบคุณ Dtac ที่อยู่เป็นเพื่อนกันตลอดเวลา ช่วยให้การเดินทางในครั้งนี้ออกมาสมบูรณ์แบบมากจริงๆ ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่ายสำหรับการมาเที่ยวใช้ชีวิตเป็นชาวเกาะ อยู่กลางทะเล
ฝ้าย