จนกว่าจะเจอความงดงามที่ปลายทางต้องใช้ความพยายาม
เพื่อก้าวผ่านความยากลำบากระหว่างทางไปให้ได้ก่อน
และนี่คือบทสรุปที่ได้รับจาก Mt.Kinabalu
ครั้งหนึ่งในชีวิตสายลุยต้องลอง คินาบาลู มาเลเซีย
แน่นอนว่า Dream Destination ของแต่ละคนก็คงแตกต่างกันออกไป แต่จุดหมายของทุกคนก็คงไม่แตกต่างกัน นั่นก็คือ พยายามจนได้พาตัวเองไปยืนในที่ที่ฝันเอาไว้ สำหรับ คินาบาลู มาเลเซีย เราเคยวาดฝันเอาไว้ ตั้งแต่ช่วงที่เรียนมหาลัย ตั้งแต่ความแข็งแรงของร่างกาย ยังพร้อมที่จะลุยไปได้ทุกที่ แม้ Dream List เส้นทางนี้สำหรับเรา อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ในที่สุดก็พยายามจนได้ไป ตามที่เคยตั้งใจเอาไว้แล้ว และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยก็ตาม
ตึ๊งตึงงง เสียงไลน์ดัง
“แกร!! ไปคินาบาลูกัน แต่แกไปตัดสินใจก่อนได้นะ”
เพื่อนที่เที่ยวมาด้วยกันสมัยมหาลัยทักมา“โอเค ไปด้วยยยย กลัวอยากไปตอนแก่กว่านี้ แล้วหาเพื่อนไปด้วยไม่ได้”
เราส่งข้อความตอบตกลงกลับไปแบบใช้เวลาคิดน้อยมากๆ
นึกย้อนไปตอนพากันเที่ยวในช่วงวัยอลวนทีไร ก็ต้องยิ้มออกมาทุกที และตอนนี้การเดินทางของพวกเรากำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง การเดินทางครั้งนี้จะเป็นยังไง ฝ้ายจะเล่าให้ฟัง
ฝ้ายทำเป็น Vlog ลง Youtube ไว้ด้วย
My Plan (10-14 Feb 2023)
😀Day o : Thailand >> Kinabalu City
😉Day 1 : Kinabalu City >> Kinabalu Park HQ
😊Day 2 : Kinabalu Park HQ >>Panalaban Base Camp
😁Day 3 : Panalaban Base Camp >>Summit >> Kinabalu City
🙂Day 4 : Kinabalu City >> Thailand
Chapter 1 || Things you should know
1.สิ่งที่ควรรู็เกี่ยวกับ Kinabalu
2.How to get there
3.การเตียมตัว
4.Check List
5.ควรเตรียมเสื้อผ้าแบบไหน
6.เส้นทางเดินเป็นอย่างไร
Chapter 2 || Don ‘t stop until you ‘re proud
7.ออกเดินทางอีกครั้ง
8.เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
9.ความสำเร็จที่ยังไม่สำเร็จ
10.กลับบ้าน
Chapter 1 || Things you should know
001 :: สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Kinabalu
- อยู่ที่ไหน เขาคินาบาลู อยู่บนเกาะบอร์เนียว รัฐซาบาห์ เมืองคินาบาลู ประเทศมาเลเซีย
- การเดินทาง นั่งเครื่องบินจากไทย ไปลงที่เมืองคินาบาลู สายการบิน Air Asia มีบินตรง(ไม่ได้มีบินทุกวัน) ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง
- เวลา มาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
- สภาพอากาศ เมืองคินาบาลู 25 – 30 องศา (เหมือนไทย)
บนเขา 0 – 8 องศา
ยอดเขา ติดลบ - สกุลเงิน ริงกิต (MYR) 1 MYR ประมาณ 8 บาท (Jan 2023)
- Internet แนะนำ Sim2Fly บนเขาก็มีสัญญาณ (บ้าง)
- ปลั๊กไฟ เป็น 3 ขา แบบ Type G
002 :: How to get there
**คินาบาลู จองยากมากกก** สำหรับใครที่อยากไปพิสูจน์ความแข็งแกร่งของร่างกายที่ คินาบาลู มาเลเซีย ก็ต้องเข้าเลือกไปเช็ค slot วันว่าง เลือก Package ที่ต้องการ และทำการจองให้ได้ก่อนที่ https://book.mountkinabalu.com/ หลังจากได้รับ Mail ยืนยันการจองเรียบร้อยก็ค่อยจองตั๋วเครื่องบิน เพราะอย่างที่บอกในตอนแรก **คินาบาลู จองยากมากกก**
แต่สำหรับพวกเรา การจองยากไม่ใช่ปัญหา เพราะเรียนจบออกมาทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนกันก็เป็นสิบปีแล้ว ทริปนี้ก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่า ควรใช้เงินแก้ปัญหา ซื้อทัวร์จากไทยไปกันเลย จองทัวร์ คอนเฟิร์มวันกันแล้วก็แค่มาจองตั๋วเครื่องบิน (ทัวร์ที่ซื้อไม่รวมตั๋ว) จ่าย จบ เก็บกระเป๋า แล้วออกเดินทาง
003 :: การเตรียมตัว
สำหรับคินาบาลู เห็นระยะทางเดินแล้วได้โปรดอย่าคิดว่ามันง่าย เพราะมันไม่ง่ายเลยจริงๆ ผู้มีประสบการณ์โดยตรงแบบเรา อยากจะแนะนำว่า ควรออกกำลังกายแบบจริงจังล่วงหน้าสัก 6 เดือน โดยเน้นเวทที่ขาทุกส่วนแบบหนักๆ ย้ำอีกครั้งว่า มันไม่ง่าย
เนื่องจาก Kinabalu อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล อาจส่งผลให้เกิดอาการ Altitude Sickness (โรคแพ้ความสูง) ควรเตรียมยา Diamox ไว้ด้วย ต้องทานล่วงหน้า 1-2 วัน (ขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร)
004 :: Check List
- ไฟฉายคาดหัว (สำคัญมาก) ถ้าไม่มี เจ้าหน้าที่จะไม่ให้เดินขึ้น Summit ซื้อแบบถูกๆ ไปก็ได้ ขอแค่ต้องมี เราซื้อประมาณนี้แหละไม่ถึง 100 บาท คลิกดูเลย
- Trekking Pole จะใช้ 1 หรือ 2 อัน ก็ตามความถนัดของแต่ละคน แต่บอกเลยว่ามันช่วยทุ่นแรงได้เยอะมาก
- ขวดน้ำ เตรียมไปให้สำหรับการเดิน 5-8 ชั่วโมง ในวันแรก
- ขนมต่างๆ เน้นเป็นพวก Chocolate และ Energy Bar ช่วยเพิ่มพลัง
- กระเป๋าเป้ แบบ 2 วัน 1 คืน สำหรับใส่เสื้อผ้าและของใช้จำเป็นขึ้นไปนอนบนเขา ของที่ไม่จำเป็นสามารถรวมใส่กระเป๋าแล้วฝากไว้ที่ Headquarters ได้ ค่าฝากกระเป๋าใบละประมาณ 100 บาท ใบเล็กหรือใหญ่ก็ราคาเท่ากัน (ข้อมูลราคา ปี 2566)
- เสื้อกันฝน เอาแบบง่ายๆ ไปเลย
- ของใช้จำเป็น เช่น อุปกรณ์อาบน้ำ ยาประจำตัว
- อุปกรณ์กันแดด เช่น แว่นกันแดด ครีมกันแดด หมวก
- อุปกรณ์กันแตก เช่น ครีมทาผิว ลิปมัน
- เสื้อผ้าที่เหมาะสม
005 :: ควรเตรียมเสื้อผ้าแบบไหน
- สำหรับวันเดินขึ้น ก็ชุด ชิวๆ ตามสะดวก แต่ยิ่งสูงก็จะยิ่งหนาว รองเท้า ควรเป็นรองเท้า Trekking หรือ รองเท้าสำหรับวิ่ง Trail โดยเฉพาะ
- สำหรับวันขึ้น Summit ก็ตามภาพด้านล่างเลย
006 :: เส้นทางเดินเป็นอย่างไร
18 km. Start to Finish
Day 1 :: 6 km. || Timpohom Gate to Laban Lata Resthouse
Day 2 :: 12 km.
3 km. || Laban Lata Resthouse to Summit
3 km. || Summit to Laban Lata Resthouse
6 km. || Laban Lata Resthouse to Timpohom Gate
เห็นระยะทางเดินกะทัดรัดขนาดนี้ ได้โปรดอย่าคิดว่ามันจะง่าย เพราะมันไม่ง่ายเลยจริงๆ คุณพระคุณเจ้า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเดินเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะทางมันชัน และชัน และชัน ยิ่งสูงอ๊อกซิเจนยิ่งต่ำ ทำให้เหนื่อยง่ายมากๆ
Chapter 2 || Things you should know
007 :: ออกเดินทางอีกครั้ง
เราออกเดินทางกันตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 10 กุมภา บินไฟล์ตมืด กว่าจะไปถึงที่พักในคืนแรกก็ 5 ทุ่มเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังมีแรงชวนกันออกไปเดินสำรวจพื้นที่กันแถวๆ โรงแรม
โรงแรมก็ถือว่าทำเลดีมาก ห้องพักโอเค ร้านอาหารรายล้อม อยู่ใกล้ 7-11 หาอะไรทานง่าย อยู่ในเมืองคินาบาลูเลย ลองดูที่นี่ >> Hotel Shangri-La เราจะพักที่นี่กันในคืนแรกและคืนสุดท้าย
ช่วงสายของวันต่อมา ก็พากันออกเดินทางไป Kinabalu Park HQ นั่งรถบัสจากในเมืองไปประมาณ 3 ชั่วโมงเห็นจะได้ และคืนนี้เราก็จะนอนกันแถวๆ จุดเริ่มเดินนี่หละ พรุ่งนี้ตื่นมาทานมื้อเช้า แล้วก็จะเริ่มออกเดินกัน วันนี้เป็นเหมือนวันที่มีไว้ให้ผ่อนคลาย ให้ได้ทำความรู้จักกับภูเขา คินาบาลู มาเลเซีย จากจุดนี้ถ้าฟ้าเปิดจะสามารถมองเห็นเขาตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่อยู่ไม่ไกลจากเรา
Hello Mt. Kinabalu ฝ้ายมาหาแล้วน้าา
อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น ไม่เกิน 20 องศา จนต้องไปหยิบเสื้อกันหนาวออกมาใส่กัน และที่พักคืนนี้คือน่ารักมากๆๆๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบทุกอย่างเลย
ห้องอาหารก็คือ เรียบหรู ดูแพง อาหารจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มื้อเย็น และ เช้า ไลน์บุฟเฟ่ต์ ดี อาหารอร่อย แต่คนไม่ทานเนื้อต้องทำใจ เพราะมาเลเซียคือประเทศที่คนส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม ในทุกมื้อก็จะมีทั้งเนื้อวัวและเนื้อไก่ให้เลือกทาน
008 :: เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
สำหรับทริปนี้ใจเราพร้อมแบบเกิน 100 ที่จะขึ้นไปพิชิต Summit บนยอดเขาคินาบาลู และการพิสูจน์ใจ พิสูจน์กำลังกาย ในครั้งนี้ กำลังจะเริ่มต้น
เส้นทางเดินวันแรก เดินกันทั้งหมด 6 km.
“โถถถ 6 โลเอง จิ๊บๆ สบายยยย จะเหนื่อยอะไรขนาดนั้น”ต้องมีคนกำลังคิดแบบนี้อยู่แน่ๆ
หลังทานข้าวเช้า เก็บกระเป๋ากันเสร็จ รถตู้ก็มารับพวกเราไปที่ทำการอุทยานเพื่อเช็คชื่อ และรับ Track ห้อยคอ ซึ่งจะมีเลขประจำตัวของแต่ละคนบอกเอาไว้สำหรับให้เจ้าหน้าเช็คตามจุด Check Point ต่างๆ (Track ห้อยคอสำคัญมากอย่าทำหาย) พร้อมทั้งให้เซนต์เอกสารยินยอม ประมาณว่าหากเราเสียชีวิต ทางอุทยานจะไม่รับผิดชอบใดๆ และก็รับน้ำดื่ม อาหารกลางวัน ณ จุดนี้
จากตรงนี้ก็นั่งรถตู้ต่อกันไปอีกนิด เพื่อไปยังจุดเริ่มต้นที่ Timpohon Gate
และแล้วก็ถึงเวลาของการพิสูจน์ตัวเองในครั้งนี้ ขอเก็บภาพ Before กันไว้ก่อน
ก่อนจะเริ่มเดิน ทางไกด์ท้องถิ่นก็จะบรีฟรายละเอียดให้เราฟังอีกครั้ง เสร็จแล้วก็ไปให้เจ้าหน้าที่เช็คชื่อ และเริ่มเดินกันได้
เดินช่วงแรกยังเกาะกลุ่มกันดีอยู่ เพราะทุกคนมาพร้อมกับความฟิต (ในช่วงแรก)
ออกเดินได้แปปนึงก็จะเจอน้ำตก ที่คอยส่งกำลังใจให้เรา บอกให้เรา ซู่ซู่
เห็นน้ำตกตอนขาไปคือธรรมดามาก ไม่ได้สวยงามโดดเด่นอะไร แต่พอขากลับผ่านมาเห็นน้ำตกนี้อีกครั้ง คือจะมีความรู้สึกแบบ “แม่คุณเอ๋ย ทำไมมันช่างงดงามขนาดนี้” เห็นน้ำตกขากลับแสดงว่าอีกนิดเดียวจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ภารกิจนี้ใกล้สำเร็จแล้ว
ตลอดเส้นทางการเดิน ทุก 0.5 – 1 km. จะมี Shelter ให้นั่งพัก และมีห้องน้ำให้ด้วย
เส้นทางเดินที่นี่ เค้าทำไว้ค่อนข้างดีเลย แต่มันแทบไม่มีทางราบ มันต้องเดินขึ้น และขึ้น และขึ้น แถมอยู่สูงอีก ยิ่งสูงอ๊อกซิเจนยิ่งต่ำ ทำให้เหนื่อยง่าย ถ้าใครไปแล้วเจอฝน ก็จะยากขึ้นไปอีก
ที่นี่ ถึงมีใจเกิน 100 ใช่ว่าจะเดินถึง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายด้วย
ต้องฟิตร่างกายมาให้เต็มที่
พลังใจ กับ พลังกาย ต้องสอดคล้องกัน
ทางเดินช่วงแรกจะเป็นป่าทึบๆ เหมือนป่าดึกดำบรรพ์ ประมาณว่าเดินๆ อยู่อาจจะเจอไดโนเสาร์ก็เป็นได้
ยิ่งเดินสูงขึ้น ป่าก็เริ่มเปลี่ยน ต้นไม้จะน้อยลง และลำต้นจะไม่สูงชะลูด เหมือนตอนเดินในช่วงแรก
พืชพรรณต่างๆ ของของที่นี่ หม้อข้าวหม้อแกงลิงยักษ์ มีที่นี่ที่เดียว
ตลอดทางจะมีป้ายบอกอยู่ ว่าเราเดินมาได้กี่กิโลแล้ว และอยู่ระดับความสูงที่เท่าไหร่ เวลาเห็นป้ายทีไรรู้สึกท้อแท้ทุกที “เฮ้ย!! เดินมาตั้งนาน เพิ่งได้ 500 เมตร เองหรอ” อะไรประมาณนี้
แก๊งค์เรามีกัน 4 คน คือแบ่งความฟิตกันชัดเจนมาก
2 คนนี้คือ น้องสาวและเพื่อนเรา เป็นสายฟิต ออกกำลังกายมาอย่างดีเยี่ยม ทั้งเวท ทั้งคาดิโอ จัดหนักแบบมีวินัย ใช้เวลาเดินกัน 6 กิโล 5 ชั่วโมงกว่า
ตัดภาพมาที่เราและเพื่อนอีกคน 6 กิโล ใช้เวลาเดินแบบเต็มแมกซ์ 8 ชั่วโม จากที่ลองจับเวลาดูตั้งแต่กิโลที่ 4 เป็นต้นไป 500 เมตร เราใช้เวลาเดินกัน 1 ชั่วโมงค่ะ หยุดพักกันทุก 10 นาที
สภาพก็ตามที่เห็น เหนื่อยแบบเหนื่อยมากกกกกก
เดินมาได้ 4 โลกว่า ก็แวะทานกลางวันเติมพลังกันก่อน อาหารกลางวันหน้าตาดี รสชาติใช้ได้ มีแอปเปิ้ล 1 ลูก กับขนมอีก 1 ซองด้วย ที่เค้าให้มา
ยิ่งสูงถุงก็ยิ่งพอง
เดินๆ อยู่ เห็นว่าตรงไหนสวย ก็ชวนเพื่อนหยุด แล้วเอากล้องออกมาถ่ายรูป (จริงๆ แล้วไม่ได้อยากรูป แต่เหนื่อยเลยอยากพัก)
และแล้วเราก็เดินกันมาจนครบ 6 km. ผ่านบ้านหลังนั้นขึ้นมา คือใกล้ถึงมากๆ แล้ว
ในที่สุดดดดดดดดดดดดด ถึงแล้วโว้ยยยยยย
อาคารหลังสีขาว คือที่ที่เราจะนอนกันในคืนนี้
ถึงแล้ว ก็ขอหยุดถ่ายรูปสวยๆ สักครู่
คนนี้ถึงก่อน ก็จะได้เลือกที่นอนก่อน ได้ทานข้าวก่อน และได้อาบน้ำ เพื่อมาถ่ายรูปกับบรรยากาศสวยๆ ก่อนเพื่อน
อาหารจะเป็นแบบุฟเฟ่ต์ อร่อย มีทั้งคาว หวาน ไลน์อาหารปิดประมาณ 2 ทุ่ม ใครถึงช้ากว่านี้คือไม่ได้ทาน
บรรยากาศข้างบนดีมาก และก็หนาวมากด้วย และนี่คือบรรยากาศตอนช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก
พาแม่มาเที่ยวด้วย สัญญาณบนนี้ก็พอจะ VDO Call หาคนทางบ้านได้ แต่บ้างช่วงก็แทบไม่มีสัญญาณเลย
สำหรับที่พัก ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ มีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนคน และไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ ต้องอาบน้ำเย็นแบบเย็นมาก คิดซะว่าเพื่อสุขภาพที่ดี
ส่วนห้องนอนกรุ๊ปเราคนรวมกัน 12 คน เป็นเตียง 2 ชั้น ไม่มีฮีตเตอร์ สะอาดสอ้านพอควร มีผ้าเช็ดตัว และรองเท้าสลิปเปร์แบบบางมากๆ ให้ สำหรับใส่เดินในที่พัก
และแล้วก็จบสำหรับวันนี้ วันที่บรรลุเป้าหมายในขั้นแรก
009 :: ความสำเร็จที่ยังไม่สำเร็จ
วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ ตี 1 กว่า เพราะต้องรีบไปใช้ห้องน้ำ แล้ว ตี 2 ก็ไปนั่งทานอาหารกัน ไม่รู้ว่าจะจัดให้อาหารมื้อนี้อยู่ในมื้อไหนดี
แล้วก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง ไฟฉายคาดหัว สำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เดินขึ้น
วันนี้เราจะเดินขึ้นไปอีกประมาณ 3 กิโล เพื่อให้ถึงยอด Summit ของ Kinabalu ที่ระดับความสูง 4,095.2 เมตร ทางเดินในช่วงแรกจะเป็นบันไดให้เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ช่วงหลังจะเป็นภูเขาหินชันๆ ต้องไต่เชือกขึ้นไปกัน เป็นการเดินขึ้นที่เหนื่อยมากๆ ทั้งชัน ทั้งสูง ทั้งหนาว ไหนจะลมที่แรงมากๆ อีก
แล้วเราก็เดินฝ่าความมืดขึ้นไปกัน ไฟฉายคาดหัวจึงจำเป็นมากๆ
ระหว่างทางจะมีจุด Check Point อยู่ 1 จุด ต้องเดินให้ถึงจุดนั้นเพื่อเช็คชื่อก่อนตีห้าครึ่ง ถ้าใครถึงช้ากว่านั้น เจ้าหน้าที่จะไม่ให้เดินขึ้นไปต่อ
รอเวลาที่แสงจากพระอาทิตย์จะส่งลงมา
เราเหนื่อยมากกก เลยส่งเพื่อนและน้องสาวเดินนำไปก่อน น้องและเพื่อนๆ ถึง Summit กันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ตัดถาพมาที่เรา หยุดพักทุกๆ 5 นาที
และแสงก็เริ่มส่องลงมา
ฉันผู้ตัดสินใจหยุดอยู่ตรงกิโลเมตรที่ 8 ทั้งที่เหลืออีกแค่ 1 โล ก็จะถึง Summit แต่เป็น 1 โล ที่ต้องใช้เวลาในการเดิน 1 ชั่วโมง เพิ่มเติมคือสูงและชันมาก ถ้าฝืนตัวเองให้เดินต่อคงหน้าซีดเป็นลมอยู่บนนั้น
มันคือ ความสำเร็จที่ยังไม่สำเร็จ ของเรานี่เอง
ความสำเร็จที่ว่า คืออย่างน้อยก็เดินไปได้ไกลจนถึงจุดที่ตัวเองพอใจ แค่ได้ถ่ายรูปคู่กับยอด Summit ก็ภูมิใจแล้ว ถึงแม้ว่าจะขึ้นไปยืนบนยอดไม่สำเร็จก็ตามที
ยอดอยู่แค่นั้นแต่ไม่เดินแล้วว ไม่ไหวแล้วว
ส่วนนี้คือภาพถ่ายจากเหล่าผู้พิชิต
ถ้าถามว่าข้างบนหนาวขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าแอ่งน้ำกลายเป็นน้ำแข็งเลย
เรานั่งรอเพื่อนอยู่ตรงนี้ นั่งรอแบบพยายามหาที่กำบัง เพราะหนาว และลมแรงมาก เสื้อกันลมสำคัญมาก
และในที่สุดก็ได้เวลาถ่ายภาพร่วมกัน
แล้วก็ถึงเวลาเดินลง คือตอนเดินขึ้นมองไม่รู้เรื่องว่าทางมันเป็นยังไง แต่พอเห็นทางตอนลงเท่านั้นแหละ “อู้หูววว!! เดินขึ้นมาได้ยังไงก่อน” ทั้งสูง ทั้งชันขนาดนี้
ตอนขึ้นว่ายากแล้ว ตอนลงยากยิ่งกว่า เพราะมันต้องคอยเกร็งขาเอาไว้ด้วย บางช่วงกำลังเดินเพลินๆ อ้าว!! ขาเปลี้ยซะงั้น กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วขณะ
วิธีเดินลงแบบใหม่ แบบถัด
ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่เลยจริงๆ
กลับถึง Base Camp เค้าก็เตรียมอาหารไว้ให้เราทานกันด้วย ทานเสร็จ ยังพอมีเวลาให้ได้พักกันคนละนิด ก่อนที่จะต้องเดินลงกันต่ออีก 6 km.
ที่นี่ ต้อง Check Out ก่อนสิบโมงครึ่ง เพราะถ้าอยู่เกินเวลาจะโดนปรับเงิน ที่ Timpohon Gate (จุดสิ้นสุด จุดเดียวกับจุดเริ่มเดิน) ก็เช่นกัน เวลา cutoff คือ 16.00 น. ใครไปเช็คชื่อหลังเวลานี้ต้องเสียค่าปรับ
ลาแล้วคินาบาลู และยังไม่มีความคิดที่กลับไปอีก สำหรับที่นี่ใช้คำว่า “ไปเที่ยว” เห็นทีจะไม่เหมาะ เพราะเหมาะกับการไปพิสูจน์ตัวเอง ไปเจอความท้าทาย ไปเอาชนะใจตัวเอง ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต มากกว่าการไปเที่ยว
จนกว่าจะเจอความงดงามที่ปลายทาง
ต้องใช้ความพยายามเพื่อก้าวผ่านความยากลำบากระหว่างทางไปให้ได้ก่อน
และนี่คือบทสรุปที่ได้รับจาก คินาบาลู มาเลเซีย
พอกลับมาถึงที่ทำการอุทยาน เค้าก็ได้เตรียมใบประกาศเอาไว้ให้เราด้วย สำหรับคนที่เดินขึ้นถึงยอด จะได้รับใบประกาศแบบสี ส่วนคนที่ขึ้นไม่ถึงยอดจะได้เป็นแบบขาวดำ
คืนนี้เรากลับมาพักกันที่โรงแรมในเมืองที่เดียวกับคืนแรก และชาวคณะก็พากันฝ่าสายฝนออกไปฉลองความสำเร็จ ด้วยร้านอาหารซีฟู้ดที่อยู่แถวโรงแรม
และในที่สุดก็ถึงเวลาพักผ่อน ถึงเวลาบอกลาวันที่เหนื่อยล้ากันมากๆ
010 :: กลับบ้าน
เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง เราตื่นมาด้วยความปวดร้าว และปวดขาแบบมากๆๆ เดินขาเปลี้ยกันไปเลย พอช่วงสายก็มีรถบัสมารับไปส่งที่สนามบิน
สำหรับขากลับจากคินาบาลู เราต้องบินไปต่อเครื่องเพื่อกลับไทยที่กัวลาลัมเปอร์ (ขาไปบินตรง) แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะตอนเครื่องลงไม่ได้ลงที่ Kul แต่ดันไปลงจอดฉุกเฉินที่ยะโฮร์บาห์รู ด้วยเวลาต่อเครื่องที่มีอยู่น้อยนิดก็ตกเครื่องไปตามระเบียบ
พอมาถึงกัวลาลัมเปอร์ทางสายการบินก็ทำการเปลี่ยนไฟล์ตให้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม ก็แหงะละการที่เครื่องลงจอดฉุกเฉินจนทำให้เรามา Check in ไฟล์ตกลับไทยไม่ทัน มันไม่ใช่ความผิดเราอยู่แล้ว
เนื่องจากเราจองตั๋วบุฟเฟ่ต์ของ Air Asia ได้ทุกเที่ยว Booking ทั้งหมดเลยแยกกัน ไม่สามารถ Check in และ Check Truh กระเป๋า รวดเดียวจากคินาบาลูได้เหมือนเพื่อน (เพื่อนจองแบบปกติ ทุกไฟล์ตรวมอยู่ใน Booking เดียว ต่อเครื่องทัน ไม่ต้องเครื่องเหมือนเรากับน้อง) อ่านเหตุการณ์นี้แบบละเอียด คลิกเลย
แม้จะผิดแผนไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ด้วยสภาพร่างกายที่รวดร้าว จากคินาบาลู ที่ที่อยากพาตัวเองไปอยู่มากที่สุดก็คือ “บ้าน”
และบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้ก็คือ “คินาบาลูอู้วหูวร้างหนูพัง” (ยับ)
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
ฝ้ายเอง
ติดตามเรื่องราวอีกมากมายได้ที่นี่
Travel Together / คนเดินทาง
https://www.thetravel2gether.com/