มาชู ปิกชู ดินแดนในฝันของใครหลายๆ คน แต่ปลายทางนี้ก็ไม่ได้จะพิชิตกันมาง่ายๆ
เพราะด้วยข้อจำกัดของเวลา ระยะทาง และค่าใช้จ่าย ที่เป็นตัวดักฝันก้อนใหญ่คอยขวางเราอยู่
ที่นี่จะไปให้ง่ายก็ง่าย จะไปให้ยากก็ยาก แต่ที่แน่อยู่ไกลจากเมืองไทยมากๆ เลยหละ
แต่ทุกเส้นทางมันไม่ได้มีแค่ทางตรงอย่างเดียว มันมีทางอ้อมอยู่ด้วย
อาจเสียเวลาหน่อย แต่ก็ช่วยประหยัดตังค์ได้เยอะเลย
เพราะสุดท้ายแล้วยังไงก็ไปถึงดินแดนในฝัน “มาชู ปิกชู” ได้เหมือนกัน
MACHU PICCHU ระยะสั้น ไอ้ระยะสั้นที่ว่านั่น เราไม่ได้หมายถึงระยะทางนะ แต่หมายถึงระยะเวลาตะหาก ฮาาาประมาณว่าไปเที่ยวอีกซีกโลก แต่มีเวลาแค่จิ๊ดเดียว
ทริปนี้เราไปกัน 4 คน กับ 13 วัน 3 ทวีป 4 ประเทศ ด้วยงบ 55,000.- บาท โดยประมาณ (ไม่รวมวีซ่ากับประกันเดินทาง) สรุปทุกอย่างจะเขียนไว้ให้ในส่วนท้ายของรีวิว
**ทริปของพวกเรา ไม่ได้ไปกันแบบตระหนี่ถี่เหนียว หรือแบบ Backpacker จ๋า เด้อ คืออยากกินอะไรก็กินกันได้เต็มที่ ที่พักก็ดูที่ทำเล เลือกราคากลางๆ เอาแบบสบายๆ การเดินทางเน้นสะดวก และประหยัดเวลา ทริปนี้ใช้ Taxi เป็นหลักเลย**
ด้วยระยะทางที่ไกลโพดๆ ก็อยากมีเวลาเที่ยวให้นานกว่านี้ แต่ด้วยการที่พวกเราเป็น ‘มนุษย์เงินเดือน’ ที่มีเวลาจำกัด มันได้เต็มที่เท่านี้แหละ
สรรพคุณ รีวิวนี้เหมาะกับใครบ้าง??
1.นักเดินทางระยะสั้นทั้งหลาย (มนุษย์เงินเดือนที่มีระยะเวลาสั้นๆ ในการเดินทาง)
2.ชอบเที่ยวแบบสบายๆ แต่ไม่ต้องใช้เงินแสน
3.คนที่กล้าตัดสินใจแบบปุ๊ปปั๊บ (เพราะตั๋วโปรไม่ได้มีเวลาให้เราคิดนานๆ)
เตรียมตัวก่อนไป
ก่อนหน้านี้เขียนไว้อย่างละเอียด ตามนี้เลย https://www.thetravel2gether.com/machu-picchu-travel-guides/
Plan Trip 11-21 APR 2018 (13 วันเต็ม)
รีวิวนี้จะไม่เขียนเล่าตาม Timeline นะ จะเล่าเป็น 5 ตอน โดยเริ่มจากปลายทางที่เป็น Dream Destination อย่าง Machu Picchu ประเทศ Peru ก่อน จนถึงต้นทางที่ Thailand
🙂 ตอนที่ 1 PERU : Machu Picchu ระยะสั้น
😉 ตอนที่ 2 COLOMBIA : Bogota และเมืองตากอากาศ บ้านดินเผา
😀 ตอนที่ 3 TURKEY : Istanbul ของฟรีและดีนั้นมีอยู่จริง
😛 ตอนที่ 4 PHILIPPINES : Manila รถม้าและความโคโลเนียล
<3 ตอนที่ 5 บทสรุปของการเดินทาง
ตอนที่ 1 PERU : Machu Picchu ระยะสั้น
“In the variety of its charms and the power of its spell, I know of no place in the world which can compare with it. Not only has it great snow peaks looming above the clouds more than two miles overhead, gigantic precipices of many-colored granite rising sheer for thousands of feet above the foaming, glistening, roaring rapids; it has also, in striking contrast, orchids and tree ferns, the delectable beauty of luxurious vegetation, and the mysterious witchery of the jungle.”
– Hiram Bingham, gringo discoverer of Machu Picchu in Lost City of the Incas.
นี่คือนิยามเมื่อแรกพบ Machu Picchu ของ ไฮแรม บิงแฮม ผู้ค้นพบอาณาจักรอินคาที่สาบสูญแห่งนี้ (ไปแปลกันเองนะ) อยากรู้ที่มาที่ไปเพิ่มเติม ก็แนะนำให้ไปอ่านต่อจากสารานุกรม wikipedia เอาละกัน ประวัติ Machu Picchu
“โหหห!! เค้าดั้นด้นมาสร้างกันได้ไงเนี่ย ยิ่งใหญ่ สวยงาม ที่สุดแห่งความอลังการ คุ้มแล้วที่เดินทางมาไกลครึ่งค่อนโลก ถึงจะได้อยู่ชื่นชมที่นี่แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เถอะ” ส่วนนี่คือนิยามของเรา เมื่อแรกพบกับมาชู ปิกชู
คือไม่ได้ทึ่งแค่กับเศษสร้างปรักหักพังอันยิ่งใหญ่นะ แต่ทุกองค์ประกอบคือดี ทั้งทำเลที่ตั้ง ทั้งบรรยากาศ ภูเขาสูงตระหง่าน สายหมอกลอยเอื่อยขึ้นฟ้า ความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้า ตัดกับความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรมาชู ปิกชู ที่มีธรรมชาติอันยิ่งใหญ่โอบล้อมเอาไว้ คือสุดจริงๆ อ่ะ
ถึงซะที PERU เริ่มกันที่เมือง Lima
จากสนามบินเมือง Bogota ประเทศ Colombia (อ่านว่า โค-ลอม-เบีย นะ ไม่ใช่ โค-ลัม-เบีย) เรานั่งเครื่องบินข้ามประเทศมาลงที่เมือง Lima , Peru สองประเทศนี้ไกลกันอยู่นะ นั่งเครื่องมาตั้ง 3.10 ชั่วโมง
สำหรับประเทศเปรู ผู้ที่ถือ Passport ไทย ไม่ต้องใช้วีซ่าเด้อ อยู่เที่ยวได้นาน 90 วันแหนะ เวลาช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง ค่าเงินมีหน่วยเป็น PEN (โซล)
หลังจากผ่าน ตม. มาเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่เรียบร้อย มายืนงงในดงกระเป๋ากันต่อ คือกระเป๋าของพวกเรา กำลังจะ Check Through ไปรอเมืองปลายทางเลยเว้ย ตอนเชคอินออกมาจากโคลอมเบีย เจ้าหน้าที่คงบอกแล้วแหละ แต่ฟังไม่รู้เรื่องกันเอง เจ้าหน้าที่เค้าพูดอังกฤษแบบสเปน ก็เออๆ ออๆ ไปตามเรื่อง แล้วคือไม่มีใครแบ่งเสื้อผ้าสำหรับคืนนี้ใส่กระเป๋าแยกออกมากันเลยไง กว่าจะคุยกันเคลียร์ เมื้อยมือมาก โชคดีที่เค้ายอมยกกระเป๋าเดินทางมาให้เราแบ่งของใช้ที่จำเป็นออกไป (แต่ไม่ให้เอากระเป๋าไปด้วยนะ ให้ไปรับอีกทีที่เมืองปลายทางในวันพรุ่งนี้เลย) พอจัดการเรื่องเสื้อผ้าของใช้สำหรับคืนนี้เรียบร้อย ก็ตรงดิ่งไปแลกเงินกันจ้า (ใช้ USD แลกเป็นPEN) และก็โบก Taxi เข้าที่พัก (ถึง Peru เกือบหกโมงเย็นแล้ว)
ที่พักที่เราคืนนี้ชื่อ Hospedería calle 5 เดินทางสะดวกมาก อยู่ห่างจากสนามบินไม่เกิน 3 กิโล หาของกินง่ายอยู่ใกล้ตลาด
ขอเล่าที่พักที่ที่นี่นิดนึง ห่ะห่ะ ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพใกล้เคียงกับบ้านเรา คงประมาณ..เหมือนเอาบ้านในหมู่บ้านจัดสรรสมัยเก่ามาดัดแปลงเป็นที่พักหนะ เป็นหมู่บ้านที่มีสนามเด็กเล่นตรงกลาง ตอนเย็นมีเด็กออกมาวิ่งเล่นเต็มไปหมด ทั้งอากาศ ทั้งบรรยากาศ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง ย่านนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ไทยแล้นนนนมากๆ ถ้าไม่เห็นตัวอาปาก้าเดินเล่นอยู่ในตลาดก็คงนึกว่าที่นี่คือเมืองไทย
ห้องพักอยู่แถวนี้เลย ซอยที่เป็นเหมือนหมู่บ้านจัดสรร
เด็กเยอะมากก
เดินออกมาหาอะไรกิน ตรงข้ามหมู่บ้านเจอตลาด บรรยากาศคือไทยโคดๆๆๆ
ถ้าไม่มีอาปาก้ามาเดินเล่นอยู่ในตลาดก็แทบไม่ต่างอะไรกับเมืองไทย
เปรูผลไม้เยอะมากๆ คล้ายๆ บ้านเราเลย
ชอบอาหารที่นี่ที่สุด เป็นแบบ Street Food มีให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง รสชาติถูกปากคนไทย
ก่อนออกจากที่พัก เจ้าของที่พักบอกว่า เดินเล่นกันได้ตามสบาย ไม่ต้องห่วงเรื่องอันตราย เพราะที่นี่ปลอดภัย
ร้านค้าทุกร้าน ต้องติดลูกกรงแบบนี้ ปลอดภัยเดินแล้วสบายใจมากจ้า เอิ่ม..มองบนแปป
AGUAS CALIENTES (Machu Picchu Base Camp)
หลังจากพักเอาแรงที่ Lima 1 คืน เราก็ออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปลงที่เมือง CUSCO ส่วนตัวชอบเมืองนี้มากๆๆๆ อากาศหนาว บรรยากาศดี วิวสวย เริ่มสัมผัสได้ถึงความอินคา
สวัสดีแอนดีส
เครื่องลงปุ๊ปก็รีบหารถต่อไปเมือง Ollantaytambo เพราะต้องรีบไปให้ทันเที่ยวรถไฟที่จองไว้ (เครื่องบินดีเลย์โพดๆ ต้องรีบไปเดี๋ยวจะพลาดรถด่วนขบวนสุดท้าย)
จากสนามบินเราโบก Taxi ไปกันเลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจ ค่ารถประมาณ 2 พันบาท (เมษา 2019)
ปล.คือยิ่งเขียนเล่ามันยิ่งฟินอะ เหมือนได้ย้อนกลับไปที่นั้นอีกครั้ง ความทรงจำมันลังพรั่งพรู อารมณ์ในการเขียนเล่ามาเต็ม เรื่องมันก็เลยจะยาวๆ รูปเยอะๆ หน่อย เพราะอยากเขียนแบบทุกชอตเลย 555 ถ้าเบื่อหรือยังไงเลื่อนข้ามๆ ไปบ้างก็ด๊ายยยยย มาๆ ต่อๆๆ
บรรยากาศของเมือง Ollantaytambo (ถ่ายตอนอยู่ใน Taxi)
ในที่สุด..ก็มาถึงสถานีรถไฟกันแบบฉิวเฉียด เอ้า!! วิ่งดิวิ่ง
มาถึงสถานีรถไฟปุ๊ปเราก็เอาตั๋วที่จองไว้ไป Check in กันก่อน
สำหรับรถไฟไป Machu Picchu เราจองตั๋วล่วงหน้ากันนานเลย รถไฟจาก Ollantaytambo ไป Aguas Calientes (Machu Picchu) จะมีให้เลือกอยู่ 2 บริษัทนะคะ คือ Inca Rail > https://incarail.com/ และ Peru Rail > https://www.perurail.com/ ชอบอันไหนก็เลือกเลย พอเข้าไปในเวป ก็เลือกเส้นทาง เลือกเวลา เลือกโปรโมชั่น แล้วก็ทำการจอง (เปลี่ยนภาษาในเวปให้เป็น English ด้วย ถ้าภาษามันงงๆ ก็ใช้ Google Transalate ช่วย) เราใช้บริการของ Peru Rail
ค่าตั๋วรถไฟไปกลับ สำหรับ 4 คน คิดเป็นเงินไทย ณ ตอนนั้น ก็ 18,173.60 บาท (เมษา 2019) ราคาสู๊งสูง แต่ก็ต้องตาม เพราะเรามีเวลาสั้นมากๆ สำหรับทริปนี้
สัมภาระชิ้นใหญ่เค้ามีที่ฝากไว้ที่สถานีต้นทาง อย่าลืมพกกระเป๋าใบน้อยกันไปด้วย
จุดฝากกระเป๋า หน้าตาเป็นงี้
พอจัดการเรื่องตั๋วและสัมภาระเรียบร้อย ก็ยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง พี่เต้อนทองผาภูมิ เจ้าของแพที่ดีที่สุดในเขื่อนวชิราลงกรณ ก็เอาเสื้อเอาของที่ระลึกที่เตรียมมาจากไทย แจกให้เด็กน้อย และชาวละตินอเมริกัน แฮปปี้กันทั้งคนให้คนรับเลยจ่ะงานนี้
เนี่ยๆ แพเนี่ยขอพี่เค้า > https://www.thetravel2gether.com/the-floatel/
รถไฟขบวนที่ฝัน ฉันกำลังจะได้ใช้บริการเธอแล้ว แท่น แท่น แท๊นนนนน
เป็นรถไฟที่สามรถชมวิวได้แบบ 2 ร้อยยยยยย 70 องศา ทุกอย่างคือโคดดี
นั่งรถไฟสายอินคา จิบเบียร์เปรู ชมวิวเทือกเขาแอนดีส ดี ดี ตอนนั้นมันดีมาก
วิวระหว่างทาง เริ่มสัมผัสได้ถึงอาณาจักรอินคา
เราขึ้นรถไฟเที่ยว 12.55 ถึงปลายทางตอย 14.25 ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งเอง
ถึงแล้วววววววววววว
และนี่ก็คือเมือง Aguas Calientes ซึ่งเป็นเมืองท่าของ Machu Picchu เมืองนี้คือคิ้วตี้มากๆ บรรยากาศก็ดี มีภูเขาโอบล้อม มีลำธารไหลผ่าน คนหลากหลายเชื้อชาติมารวมกันอยู่ที่นี่ และต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือ ได้ไปเห็น MACHU PICCHU อาณาจักรอินคาที่สาบสูญด้วยตาตัวเอง
ยืนงง หลงความงามของเมืองนี้กันอยู่สักพัก ก็พากันดึงสติกลับมา แล้วมุ่งตรงไปตามหาที่พัก ที่พักของเราคืนนี้อยู่ริมทางรถไฟเลย หาไม่ยาก ราคาไม่แพง วิวดี เดินเที่ยวสะดวก (ที่พักของเราแต่ละที่ดูที่ทำเลเป็นหลัก รองลงมาก็คือบรรยากาศ)
และนี่ก็คือที่พักของเราในคืนนี้ อยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย หาไม่ยาก ที่นี่ชื่อว่า Hostal La Payacha
ชะโงกหน้าออกไปจากหน้าต่างห้องพัก ก็ะเจอกับภาพแบบนี้ ชอบบบบบบบบบบบบบ
เก็บกระเป๋าเข้าที่พักแล้ววววว จากนั้นก็ ป่ะ ป่ะ ไปเดินเล่นดูบรรยากาศของเมืองนี้กัน แต่ขอแวปไปซื้อตั๋วรถบัสสำหรับขึ้นมาชูปิกชูเช้าพรุ่งนี้ก่อนนะ
ค่าตั๋วรถบัส ไป-กลับ 4 คน ก็ประมาณ 6,500 บาท ใช้เวลานั่งขาละ 30 นาที ใช่จ๊ะใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ขาละ ครึ่ง ชั่ว โมงงงงงงงงงง ค่ารถไปกลับตกคนละประมาณ 1600 บาท ราคาสูงอยู่ แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว มากับวัยรุ่นตอนปลายมากๆๆ ด้วย แถมมีเวลาสั้นอีก ควักเงินแล้วจ่ายไปสิจ๊ะ จะรอให้แก่กว่านี้หรอถึงยอมจ่าย แต่ถ้าใครมีแรง มีเวลา จะเดินขึ้นเขาไปก็ได้นะ ประหยัดเงินไปได้อีกเยอะ
ดั้นด้นกันมาถึงนี่แล้ว ไปชอปปิงหาของฝาก ไปฝากคนที่เรารักกันดีกว่า (ซื้อบนนี้มันได้บรรยากาศ ได้ความรู้สึกไงเพราะมันใกล้มาชู ปิกชู แต่จริงๆ ลงไปซื้อที่เมือง CUSCO ก็ได้นะ ราคาถูกกว่าด้วยซ้ำ)
ภาพวาดนี้มีเรื่องเล่า..คือพี่เต้อนทองผาภูมิ เจ้าของแพที่ดีที่สุดในเขื่อนวชิราลงกรณ กับอาแปะช่างภาพเนี่ย เป็นคนที่หลงใหลในงานศิลปะ แล้วก็ชอบภาพวาดไง แล้วเค้าก็ไปถูกใจภาพที่เค้าถือในมือนั่นหนะ ต่อราคาซะทีดิบดี คิดว่าหน่วยเงินที่พี่คนขายบอกคือโซนเปรู มันก็ตกภาพละ 800 บาทเอง ราคารับได้ พอยื่นเงินให้พี่พ่อค้าเค้าว่า no no no USD เท่านั้นแหละ อึ้งเลยสิครับ จากภาพละ 800 บาท ก็แพงขึ้นมาอีก 3 เท่าตัว ก็เลยคืนเค้าไป แต่พี่เค้าตื๊อมากๆ เลย เดินตามทั่วตลาด ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ลดราคาลงมาให้เหลือภาพละพันกว่า เป็นผู้ชายขี้้สงสารกันไง ก็เลยได้ติดมือกลับมาคนละภาพ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกกกกกก
พอกลับไปเมือง CUSCO ก็เห็นคนเดินถือภาพแบบนี้ขายกันให้ว่อนเลย 5555 คิดซะว่ามันคือภาพวาดที่มีหลายแผ่นแล้วกันเน๊าะ 5555555555555
จบจากภาพวาดก็มาต่อกันที่เรื่องของผ้าทอมือ ที่สุดแห่งความภูมิใจของพี่เต้อนทองผาภูมิ เจ้าของแพที่ดีที่สุดในเขื่อนวชิรางลงกรณ เดินวนร้านผ้าร้านนี้อยู่สี่ห้ารอบ ถามแล้วถามอีก ซื้อดีมั๊ยอะ จะเอาดีมั๊ย พี่ชอบอะ
พี่เต้อนนนนนน..ถ้าจะอาลัยอาวรณ์ขนาดนี้เดินกลับไปซื้อเถอะ นี่มันผ้าพื้นเมืองของชาวอินคาเลยนะ ที่ไทยไม่มีหร๊อก และแล้วพี่เต้อนก็ได้เป็นเจ้าของผ้าผืนนี้จนได้ ซื้อมาในราคาประมาณ 6 พัน บาท เดินห่มไปตลอดทริป
คือพี่เค้าภูมิใจมากกกก ห่มไปไหนก็มีแต่คนพื้นเมืองเดินมาทัก ว่าผ้าผืนนี้ดีมากนะ ทอสวยนะ เป็นของแท้ ราคานี้ไม่แพงหรอกกกกก เห็นพี่มีีความสุขทุกคนในทริปก็แฮปปี้ด้วย
ส่วนตัวเรา ก็สอยกลับมาได้หลายสิ่งเหมือนกัน ทั้งหมวกและถุงเท้าที่ทอจากขนอาปาก้า ราคาชิ้นละไม่เกิน 200 บาท มันคือความภูมิใจของเราเช่นกัน ฉันใช้เองฉันรู้เอง ว่ามันทำมาจากขนอาปาก้า และก็หอบหิ้วไกลมาจาก Machu Picchu
อนุสาวรีย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอินคา เป็น Landmark ของเมืองนี้
Aguas Calientes ยามค่ำคืน
มื้อค่ำวันนี้ บาร์บีคิวเนื้ออาปาก้า มันเหนียวดีนะ 555
น้ำอัดลมที่มาถึงเปรูแล้วต้องลอง ไม่ได้ลองถือว่าพลาดดด > Inca Cola รสชาติจะไปยังไงไปลองเองนะ อิอิ
ระหว่างเดินเล่นที่นี่ ก็ช่วยกันมองหาร้านคอมพิวเตอร์ เพื่อจะปริ้นท์ตั๋วเครื่องบินขากลับไป Lima (ที่ไม่ได้ปริ้นท์มาล่วงหน้าเพราะมันยังไม่ถึงเวลา check in) แล้วก็เจอจริงๆ ด้วย (โชคดีมาก เพราะถ้าไปปริ้นท์ที่ Counter ของสายการบินต้องเสียตังค์ประมาณ 4 ร้อยกว่าบาทต่อคน) ร้านเป็นร้าน internet ปริ้นท์งานได้ ใครที่ลืมเอกสารต่างๆ นาๆ ถ้ามาถึงเมืองนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลมีร้านคอมฯ จ้า หาไม่ยาก
อิ่มแล้ว ปริ้นท์เอกสารแล้ว นอนเอาแรงได้ พรุ่งนี้จะได้เห็นมาชูปิกชูแล้ว สวดมนต์ก่อนนอน โอมมมมมมมม..ฟ้าจงเปิด เมฆอย่าบัง ฝนอย่าตก เพี้ยงงงงงงงงงงงงงง
ที่พักอยู่อยู่ติดสถานีรถไฟประมาณนี้แหละ ถ้ามีร่มกางเยอะๆ คงเหมือนนอนพักอยู่กลางตลาดหุบร่ม สมุทรสงคราม
มาแล้ว มาแล้ว Machu Picchu
วันนี้ทั้งตื่นเช้า ตื่นเต้นเลย เพราะมิชชั่นของพวกเราสำหรับการเดินทางครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว
ตั๋วรถบัสพร้อม ตั๋วเข้ามาชูพร้อม คนก็พร้อมมาก แต่สภาพอากาศดูไม่ค่อยจะพร้อมเลย ฝนตกหนักมากกกกก (ตอนนั้นในใจโคดลุ้น สวดมนต์ตลอดทาง หนูมาไกลมาก หนูมาไกลมาก ฟ้าเปิดให้หนูทีเถอะ)
ก่อนจะถึง Machu Picchu ของเล่าถึงการจองตั๋วนิดนึง สำหรับใครที่จะไปมาชู ต้องซื้อตั๋วเข้าด้วยน๊าา จะซื้อออนไลน์ไว้ก่อน หรือจะมาซื้อที่ Aguas Calientes ล่วงหน้าวันนึงก่อนได้ ส่วนพวกเราแบบซื้อออนไลน์กันจ้า
Machu Picchu จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยววันละไม่เกิน 2,500 คน โดยแบ่งเป็น 2 รอบ คือเช้า 6.00 – 12.00 น. และบ่าย 12.00 – 17.00 น. ราคาค่าตั๋วตกคนละประมาณ 1,500 บาท (เมษา 2019) โดยพวกเราเลือกขึ้นรอบเช้ากัน
วิธีการจองตั๋วเข้า Machu Picchu ก็ประมาณนี้
- https://www.machupicchu.gob.pe/inicio
- เปลียนภาษา eng (บางจุดยังเป็นภาษาสเปน ให้ copyข้อความไป แปลใน google translate)
- เลือกวันเข้า (VISIT DATE)
- จำนวนคนเข้า
- เลือกเส้นทาง ที่จะไป
1.Machupicchu เข้ามาชู อย่างเดียว
2.Machupicchu con montaña Waynapicchu เข้ามาชู + เดินเล่น Huayna Picchu
3.Machupicchu con montaña Machupicchu เข้ามาชู + เดินเล่น ไปยอดเขา Machupicchu
บรรยากาศระหว่างนั่งบัสขึ้นมาขมุกขมัวดำมืดมากกกกกกกก ฮือๆๆๆ
นั่งรถโยกเยกมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ววววววว ฟ้าก็ยังคงมืด ฝนก็ยังคงตกอยู่เรื่อยๆ
ภาพแรกที่เห็นนนนนนน คือ รู้สึกว่าที่นี่สีสันคัลเลอร์ฟูลมาก อาณาจักรมาชู ปิกชู ที่เต็มไปด้วยคนกางร่ม และใส่เสื้อกันฝนหลากสีเนี่ย 555555
หนาวก็หนาว ลมก็เย็น ฝนก็ตก แดดก็ไม่มี ฟ้าจ๋าาาาา เปิดให้หนูได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้หน่อยเถอะ
ยัง ยัง.. คำอธิษฐานยังไปเป็นผล โอยยยยยยยยยย
แต่เท่าที่ได้เห็น ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของแล้ว (ปลอมใจตัวเองงงง ฮือๆๆ)
เดินไปเรื่อยๆๆ ฟ้าก็ยังไม่เปิด แต่ฝนหยุดตกแล้วนะ
ดูดิ..สมัยโน้นนนน ชาวอินคาเค้าใช้นวัตกรรมอะไรก็ไม่รู้เน๊าะ ถึงได้ขนหินขึ้นมาสร้างสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ พื้นผิวเป๊ะเรียบเนียนสมมาตรมากๆ นี่ลองเลือกหินก้อนพอดีมือที่บ้านมาจับเรียงกัน ซ้อนได้แค่ 2-3 ก้อน ก็เอนเอียงง่อนแง่นแล้ว
ฝนหยุดแต่หมอกก็ยังหนาแน่น คือภูมิทัศน์ที่นี่มันสวยมาก บรรยายไม่ถูกเลย มันดูลึกลับอลังการ
แล้วฟ้าก็เริ่มใสขึ้น หมอกเริ่มจาง มีลุ้นๆ
เอาละเว้ย แดดดดดดดดดดดด
แดดมาแล้ววววววววววววววว
และในที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ฟ้าใสแล้วจ้าาาาาาาาา แต้มบุญเรายังมีเว้ยเห้ยยยยยยยยยยย
โคดสวย โคดดี โอยยยยยย..น้ำตาจะไหล ขอบคุณฟ้าที่เปิดให้หนูได้เห็นความยิ่งใหญ่ของที่แห่งนี้ ชีวิตนี้คุ้มแล้วเนี่ย
ตอนอยู่บนมาชู ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เจอครบทุกฤดูกาลเลยจ้า ทั้งหนาว ร้อน และก็ฝนตก ครึ่งวันสามฤดูมีที่นี่ มาชู ปิกชู เดินกันเพลินมาก ดูจากภาพไม่ค่อยกว้างใช่ป่ะ แต่ลองไปเดินดูดิ ใช้เวลาครึ่งวันก็จะเดินได้ทั่วพอดี เดินกันจนขาลาก
ที่นี่เข้าออกคนละทางนะ ถ้าเผลอเดินย้อนออกไป แล้วจะเข้ามาใหม่ไม่ได้เด้อ
เห็นอาปาก้าป่าวววววววววววววววววว บ้านพวกเธอทำไมถึงสวยขนาดนี้
พอฟ้าจะใสก็ใสแจ๋วเล้ยยยยยยยยยยย
ยังคงทึ่งกับการเรียงหิน ดูดิ แต่ละก้อนคือเป๊ะมา
มาแล้ว มาแล้ว Machu Picchu
ขาออกอย่าลืมประทับตราลง Passport นะ ว่าเรามาถึงที่นี่แล้ว (Passport เราจะหมดอายุแล้วเลยกล้าปั๊ม อิอิ)
รอยยิ้มพิมพ์ใจของหนูน้อยชาวอินคา
พอลงจาก Machu มา ก็เข้าที่พัก เก็บกระเป๋า Check Out รอขึ้นรถไฟกลับไป Cusco กัน (รถไฟขากลับเราเลือกเที่ยวบ่ายโมงตรง)
ถ้าถามว่า MACHU PICCHU ไปยากมั๊ยยย??
ต้องบอกก่อนนะ ว่าสำหรับที่ี่นี่จะไปให้มันง่ายก็ง๊ายง่าย จะไปให้มันยากก็ย๊ากยาก เพราะการเดินทางมันมีหลายวิธี อยาก Adventure ก็เดินตามเส้นทางของชนเผ่าอินคาไปกันจ้า แต่ถ้ามีเวลาน้อยและไม่ได้รักการผจญภัยขนาดน้านนน ก็นั่งรถมาเรื่อยๆ เดี๋ยวเดียวก็ถึง วิธีนี้ลงรถบัสปุ๊ปเดินเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของมาชูปิกชูด้วยตาตัวเองแล้ว แต่แน่นอนว่าการเดินทางอย่างหลังก็ต้องจ่ายเยอะหน่อย มันก็ต้องแลกอะเน๊าะ
วันที่เราไป ก็ได้ไปเจอกับแก๊งค์พี่คนไทย ที่พาลูกสาวตัวน้อยอายุแค่ 4 ขวบ ไปเที่ยวมาชูปิกชูด้วยหละ มองย้อนกลับไป ตอนเรา 4 ขวบ แค่พ่อพาไปดูยีราฟที่เขาดินก็ตื่นเต้นมากๆ แล้ว ฮาาาาา
สรุปคือที่นี่ไปได้ยาก แค่ไกลมากๆ เท่านั้นเอง
ขอพูดเรื่องโรคแพ้ความสูงหน่อย
ก่อนเดินทางเราก็พากันไปรับวัคซีนที่ Travel Clinic แล้วก็ปรึกษาหมอเพิ่มเติมเรื่อง Altitude Sickness (โรคแพ้ความสูง) คือที่ Machu Picchu หนะ มันไม่สูงจนส่งผลจนทำให้เป็นโรคนี้ ถ้าเทียบแล้วที่ Machu สูงระดับเดียวกับดอยอินทานนท์นั่นแหละ แต่เมืองที่ต้องระวังเรื่องนี้จริงๆ คือเมือง CUSCO เมืองที่นั่งเครื่องบินมาลงก่อนเดินทางมา Machu Picchu
จากที่ปรึกษาหมอก็ได้ Diamox มากินกัน แต่มันต้องกินล่วงหน้านะ (กี่ชั่วโมงจำไม่ได้) ไม่ใช่พอมาถึงเมืองนี้แล้วค่อยกิน แต่เรา 4 คน ผ่าน Leh Ladakh มากันแล้ว เรื่องนี้เลยไม่เป็นกังวล
ความหรูหราของรถไฟขากลับ ผ้าปูโต๊ะลายสวยมากก
ขบวนนี้มีการแสดงให้ดูด้วย
วิวตอนนั่งรถไฟก็ประมาณนี้
พอถึงปลายทางก็ไปรับกระเป๋าที่ฝากเอาไว้ ตอนแรกว่าจะนั่งบัสกลับกันแต่เปลี่ยนเป็นโบก Taxi กลับ CUSCO เลย
ทริปนี้เน้นสะดวกจ่ะ ไม่ได้เน้นประหยัด เอาแบบสะด๊วกสะดวก
บรรยากาศระหว่างนั่ง Taxi คือดีงามมาก
จุดแวะพักระหว่างทาง Hola!! แอนดีสสสสสสส
อาปาก้าไว้ให้ถ่ายรูป อยากถ่ายก็จ่ายไป แต่เราไม่
มีร้านขายของที่ระลึกด้วย แถวนี้ไม่ได้ถูกเลยนะ ลงไปซื้อที่ CUSCO เหอะ
นั่งรถเพลินๆ มาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงเมือง CUSCO คืนนี้เราพักกันที่เมืองนี้แหละ กว่าจะถึงที่พักฟ้าก็มืดแล้ว
และก็ตามสไตล์เราเช่นเคย คือเลือกที่พักจากทำเลที่ตั้ง คราวนี้เราเลือกให้ใกล้กับจตุรัสกลางเมือง ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง อาหารการกินหาง่าย คือเดินออกจากที่พักก็ช้อปได้เลย ที่พักคืนนี้ชื่อ Hostal Alfredo’s Palace
เมืองนี้หนาวมากกกกกกกกก ไม่เกิน 5 องศา ชอบบรรยากาศโรแมนติกของที่นี่ เสียดายมีเวลาแค่คืนเดียว ก็ต้องรีบบินกลับ LIMA เพื่อต่อเครื่องกลับ COLOMBIA
มาเปรูทั้งทีจะพลาดเมนูอันเลื่องชื่อของที่นี่ไปได้อย่างไร เมนูนั้นนั่นก็คืออออออ หนูตะเภาย่างงงงงงงง สั่งมาตัวนึง ตอนสั่งเค้าคงถามว่าให้ผ่าครึ่งมั๊ย ก็เออๆ ออๆ ไป เลยได้มาจานละครึ่งตัว 2 จาน จริงๆ อยากให้มาแบบเต็มตัวมากกว่า เดี๋ยวหั่นกินเอง ส่วนรสชาติก็สาบๆ ยี้ๆ ครั้งเดียวพอออออออ
บอกแล้วว่า Cusco อยู่สูงจากระดับทะเล เลยส่งผลทำให้ถุงขนมพวกนี้เต่งจนใกล้แตก
อำลา PERU
สำหรับทริปนี้รู้สึกว่านั่งเครื่องบินจนเหนื่อยถึงเหนื่อยมาก ต้องตื่นแต่เช้าแทบทุกวันเพื่อรีบไปสนามบิน เช้าวันนี้ก็เช่นกัน ออกจากที่พักกันแต่เช้าตรู่ เพื่อรีบไปให้ถึงสนามบินตอน 6.30 น. และบินจาก CUSCO ไป LIMA แล้วต่อเครื่องกลับไป COLOMBIA ดูเส้นทางการบินในหนึ่งวันดิ มันน่าเหนื่อยมั๊ยหละ
เรามีเวลารอต่อเครื่องที่ LIMA หลายชั่วโมงอยู่ เลยโบก Taxi (อีกแล้ว) จากสนามบินไปเที่ยวในเมืองกัน
จตุรัสกลางเมือง
CUSCO นี่คืออย่างหนาว แต่ LIMA ร้อนโพดๆ เลยจ้า ดูการแต่งกายของคุณฝ้ายสิ เตรียมหนาวมาเต็มที่ เดินไปก็จั๊กเปียกไป ถ้าถอดออกจะเหลือแต่เสื้อชั้นใน ก็เลยต้องอดทน เดินไปก็บ่นไปในใจ แม่มมม..ตูจะเป็นลมแล้วเนี่ย
อาหารท้องถิ่นกับร้านขายของชำ ในภาพนั่นคือขนมหวานไรสักอย่างไม่รู้เหือนกัน ไม่ได้ซื้อมาชิม
เดินมั่วไปเรื่อยก็เจอตลาดสด เวลาไปต่างแดนเราชอบไปเดินเที่ยวตลาดสดกัน ไปดูรู้ว่าคนที่นี่เค้ากินไรอะไรยังไงกัน อาหารพื้นถิ่นไรงี้
ไก่ที่นี่คือสงสัยว่ามันเป็นบรรพบุรุษไก่หรือยังไง ทำไมตัวมันใหญ่จังฟะ ดูหัวพี่สาวคนนั้นกับขนาดของไก่เดะ ใหญ่เบิ้ม
ออกจากตลาดก็มาช้อปของที่ระลึกกันต่อ
และแล้วก็ได้เวลาอำลา PERU
ตอนที่ 2 COLOMBIA :
Bogota และเมืองตากอากาศบ้านดินเผา
COLOMBIA อ่านว่า โค-ลอม-เบีย ไม่ใช่ โค-ลัม-เบีย ประเทศนี้ไม่เคยอยู่ใน list ใดๆ ของเราเล้ยยยย รู้แค่ว่านางงามสวย และก็เป็นต้นดำเนิดของกระเป๋าวายูแค่นั้น
แต่ตั๋วโปรฯ ของเตอกีสเค้าพามาไง ก็เลยต้องมา ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอเล่าเกี่ยวกับประเทศนี้เท่าที่ได้ไปสัมผัสมาด้วยเวลาอันน้อยนิด ให้ได้อ่านกันนิดนึงน๊าา
สำหรับประเทศโคลอมเบีย ผู้ที่ถือ Passport ไทยต้องใช้วีซ่าด้วยนะแต่ถ้ามีวีซ่า US หรือ เชงเก้น อยู่แล้วก็สามารถเข้าโคลอมเบียได้เลย รายละเอียดการขอวีซ่าโคลอมเบีย ก็ตาม link นี้เลย เคยเขียนเอาไว้แล้ว > https://www.thetravel2gether.com/colombia-visa-apporve/
ส่วนค่าเงินที่นี่มีหน่วยเป็น เปโซโคลอมเบีย (COP) เราใช้เงินดอลล่าไปแลกเป็น เงิน COP ที่สนามบินเมือง Bogota ถ้าแปลงเป็นเงิน 1,000 COP ก็ประมาณ 12.02 บาท (เมษา 2018) เวลาช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง
คนแถบนี้หน้าตาดี๊ดีทั้งชายหญิง ผู้ชายหน้าออกยุโรปปนแขกคมเข้มสเปคเลย ส่วนผู้หญิงก็สวยคม ไฟหน้า ไฟท้าย คือแบบบบ สะบึม ฮึมฮึ่มมากกกกก เดินทีนี่เราแทบจะร้องซ้าย ขวา ซ้าย ไปตามแรงสั่นสะเทือน เอ้ย!! จังหวะการเดินของพวกนาง ผู้คน (ส่วนใหญ่) ก็ดูเป็นมิตร ยิ้มแย้ม ดีนะ
คนที่นี่นับถือศาสนาคริสต์เป็นหลักจ่ะ ส่วนสภาพอากาศของเมืองนี้ก็หนาวเย็นตลอดทั้งปี เพราะตั้งอยู่บนเขา ค่อนข้างสูงจากระดับน้ำทะเล
ที่ COLOMBIA เราเที่ยวกัน 2 เมือง คือ BOGOTA และ VILLA DE LEYVA ขอเล่าถึงเมือง BOGOTA ก่อนแล้วกัน
BOGOTA เที่ยวไประแวงไป
BOGOTA เมืองหลวงของประเทศโคลอมเบีย เมืองที่เที่ยวไปพร้อมกับความหวาดระแวง ระแวงจริงๆ นะ 555 ก่อนมาเว้ย..ก็ไป search หาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ แล้วข้อมูลที่เจอมาก็มีอยู่ว่า BOGOTA เป็นเมืองที่อันตรายที่สุดในโลก เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องยาเสพย์ติด และการโจรกรรม บรึ๋ยยยยยยยยย แอแฮ่ น่ากลัว จุงเบย
แต่อย่างว่าแหละ ที่ที่อันตรายที่สุด อาจจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็เป็นได้ เพราะ Bogota เค้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารพร้อมกับหมาคู่กาย ยืนกระจายอยู่ทั่วเมือง แทบจะทุกๆ 100 เมตรเลยจ้า
เดินๆ อยู่กลิ่นปู๊น ปู๊น ก็ลอยคละคลุ้งมาแตะจมูก คนผิวดำกำลังจุดไฟลอยพร้อมกับห่อฝอยในมือของเค้า (หรือนั่นอาจจะเป็นห่อช๊อกโกแลตก็เป็นได้) เดินอยู่ดีๆ คุณตำรวจก็เล่นวิ่งไล่จับกับคนร้ายท่าทางสนุกสนาน ยืนดูอยู่จนสุดท้ายแล้วคุณตำรวจก็แปะคนร้ายได้สำเร็จ
ระหว่างที่พวกเราดินเล่นก็มีน้องนักศึกษามาขอสัมภาษณ์ Target ของน้องๆ คือ นักท่องเที่ยวหน้าตาเอเชีย ผิวโทนเหลืองอย่างเราๆ น้องเค้ามากันสองคน ระหว่างที่น้องคนนึงขอถ่ายรูปพวกเราหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ น้องอีกคนที่มาด้วยกัน ก็คอยกั้นหน้ากั้นหน้าเฝ้าระวังกล้องที่อยู่ในมือของน้องคนแรก ดูดิ!! มันโคดตื่นเต้นเลยหวะแก คือต้องตื่นตัว คอยระวังตัวกันตลอดเวลา
ที่เล่านั่น..คือมุมที่ได้สัมผัสกับ BOGOTA แบบอะเริ๊ตๆ (Alert)
โบโกต้า เฮ้ โบโกต้าาาา เฮ้ โบโกต้าาาาาาาา ระวังงงงตัวตลอดเวลา เฮ้ เฮ้ เฮ้
โบโกต้าาาาาาาาาาาา พร้อม สามมมมม สี่ 1 2 123 12 12 12 1
เดินเที่ยวเมืองนี้ต้องตื่นตัวเสมอ เสมือนว่ากำลังแข่งขันกีฬา เฮ้
ทีนี้พาไปดูสีสันและบรรยากาศของบ้านเมืองที่ BOGOTA กันบ้าง ที่นี่..บ้านเมืองก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีนะ ตึกรามบ้านช่องก็ออกไปทางยุโรป สร้างไล่ไปตามไหล่เขา เดินขึ้น ลง ขึ้น ลง กันเมื่อยเลย
ส่วนเรื่องสีสันของเมืองนี้ เอาไป 10 เต็ม 10 เพราะเค้าพ่น Grafiti ลวดลายงดงามไว้ทั่วเมือง เดินดูไปเรื่อยๆ นี่เพลินมาก เหมือนได้ชมนิทรรศการศิลปะไปในตัว “ที่นี่คือเมืองแห่งศิลปะ โว๊ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮา ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” อ่านให้ในใจเป็นสำเนียงของ อ.เฉลิมชัย
BOGOTA เป็นเมืองที่เดินเล่นถ่ายภาพกันสนุกและเพลินมากๆ แต่อย่าเพลิดเพลินจนลืมระวังตัวหละ อย่างที่บอกเมืองนี้อาชญากรรมเยอะ
หลังจากเดินเล่นกันจนทั่ว ก็เดินไปนั่งกระเช้าขึ้นเขาไปจุดชมวิวที่เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่กันต่อเลย เป้าหมายของเรามีชื่อว่า Mount Monserrate เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมือง Bogota
นั่นๆ เขาลูกนั้น ที่สูงๆ อึมครึมๆ นั่นแหละ
ส่วนตึกนั้น ก็คือสถานีขึ้นกระเช้า รายละเอียดต่างๆ ของกระเช้า เช่น เวลาเปิด-ปิด ราคา เข้าไปดูได้ที่นี่เลย > http://www.colombiainfo.org/en-us/cities/bogota/monserrate.aspx
ก่อนเดินทางอ่านรีวิวของที่นี่ เค้าบอกว่าวิวบนเขาลูกนี้สามารถมองเห็นเมือง BOGOTA ได้ทั้งเมือง ภาพในรีวิวเค้าก็สวยดี น่าไป เมืองโบโกต้าใหญ่โตโอ่อ่า อลังการมาก (นั่นคือสิ่งที่คนอื่นรีวิวไว้)
ส่วนภาพนี้คือรีวิวของเรา สิ่งที่เราได้เห็นมันเป็นแบบนี้
เฮ้อออออ!! พอกระเช้าเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน ฝนก็เทลงมา เทลงมา เทลงมา ตกหนักมากกกกกกกก แทบมองไม่เห็นวิวอะไรเลย ขึ้นไปติดฝนอยู่ข้างบนอี๊ก เฮ้อออออออออออออ
ที่นี่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,170 เมตรจ่ะ อากาศก็จะหนาวเย็นสบายตลอด ยิ่งถ้าเจอฝนเจอลมด้วยหละก็ หึ่มๆๆๆ ไม่รู้จะคิดเข้าข้างตัวเองยังไงดี คงได้แต่ปล่อยให้เปียกปอนไปตามสภาพ
บนนี้มีโบสถ์อยู่ด้วยน๊าา ภายในโบสถ์ก็ประมาณนี้
พอฝนเริ่มซา ก็ชวนกันกลับลงไปเดินเล่นช้อปปิ้งข้างล่างกันต่อ แต่ก่อนไปดูของฝาก ขอพามาชมเรื่องอาหารการกินกันก่อน
อาหารที่นี่ เราว่าคนไทยก็กินกันได้นะ ส่วนพวกอาหารสไตล์ฝรั่งอย่างเบเกอร์ สเต็ก ก็หาได้ไม่ยาก
ส่วนกล้วยยักษ์นี่ก็เอามาทำเป็นทั้งของหวาน ของคาว แต่กล้วยบ้านเราอร่อยกว่าเยอะ
มันใหญ่ขนาดนี้เลยเนี่ย ชื่อเรียกจริงๆ ของมันคือ Plantain หรือ กล้าย (ใช้สระอาแทน ว.) เป็นผลไม้คล้ายกล้วย แต่มันไม่ใช่กล้วย อ่านเพิ่มเติม https://bit.ly/2U4o3Of
และก็จะมีพวกอาหาร ผลไม้ ของกินเล่น ที่เป็นรถเข็นล้อโตแบบนี้ ขายกันอยู่ทั่วไป สรุปคือของกินที่นี่หาซื้อง่ายมาก มีให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง
มาดูพวกของฝากของที่ระลึกกันบ้างดีกว่า ขอบอกว่าของที่นี่น่าซื้อน่าใช้มากกกกกกกกก เดินช้อปกันเพลินเลยจ้า
ของแฮนด์เมทคือดีดี๊ดี นั่งร้อยกันสดๆ สร้อยแต่ละเส้น ตุ้มหูแต่ละคู่สีสันสวยงามมาก ราคาก็ลดหลั่นกันไปตามขนาด เส้นยิ่งโต ยิ่งอลังการ ราคาก็ยิ่งแพง สร้อยเส้นใหญ่ๆ นั่นมีตั้งแต่หลักพันจนหลักหมื่น
สวยๆ รวยๆ อย่างเรา จัดไปจ้า ตุ้มหูคู่ละร้อย
เนี่ย..กระเป๋าพวกเนี๊ยะ ที่เราให้รู้จักกับประเทศโคลอมเบีย สาวๆ น่าจะรู้จักกันดี Wayuu Bag ไอเท็มที่สาวๆ อยากจะมีไว้ครอบครอง คือ ซื้อที่ไทยแพงมากกกกกกกก นี่ก็อยากได้ไง เลยไป search หาข้อมูล ว่ามันมาจากไหน เป็นของประเทศอะไร แล้วก็ได้รู้ว่าต้นกำเนิดมันอยู่ที่ประเทศโคลอมเบีย
ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนึงจะได้มาซื้อ Wayuu Bag ถึงแหล่งกำเนิด ซื้อกลับไทยไปหลายใบเลย เพราะถูกกว่าเยอะมากกกก
ลากันไปด้วยภาพจัตุรัสกลางเมือง
เมือง BOGOTA ของเราก็ประมาณนี้แหละค๊าาาาาา
VILLA DE LEYVA เมืองตากอากาศและบ้านดินเผา
VILLA DE LEYVA เมืองนี้ใช้เวลานั่งรถจาก BOGOTA ไปประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศที่อยู่ไม่ไกลจากโบโกต้า
ขอเล่าที่มาที่ไปของเมืองนี้นิดนึง คืออาแปะช่างภาพหัวหน้าทัวร์ของเรา อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวเมืองตากอากาศของประเทศนี้บ้างไง อาแปะก็เลยไปถามอากู๋ (Google) โดยพี่เค้าเข้าไปลากใน Google Maps เลยจ้า ว่าใกล้ๆ โบโกต้ามีเมืองตากอากาศที่ไหนบ้าง เมืองที่มีที่พักสวยๆ ชิวๆ ให้เลือกเยอะๆ แล้วก็ได้เจอกับ VILLA DE LEYVA นี่แหละ
วันนั้นเราออกเดินทางจากโรงแรมในโบโกต้ากันแต่เช้า แล้วก็เหมารถของโรงแรมให้ไปส่งที่สถานีรถบัส (คล้ายๆ หมอชิตบ้านเราเลย) เพื่อนั่งรถต่อไปเมืองนี้กัน
บขส. ที่นี่สะอาดสอ้าน เป็นระเบียบกว่าบ้านเรามาก
พอไปถึงก็ยืนงงๆ กันอยู่แปปนึง แล้วก็ค้นพบว่ารถของบริษัทนี้สามารถพาเราไปที่หมายได้
ออกตั๋วเลยลูกพี่ ค่าโดยสารคนละประมาณ 300 ต่อเที่ยวนะ
สภาพรถดีมาก นั่งสบาย ไม่ต้องมีใครยืน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว (กรุงเทพ-หัวหิน ดีๆ นี่เอง)
รถจะพาเรามาลงที่ท่ารถของเมืองซึ่งเป็นปลายทาง พอถึงเราก็จัดแจงดูเที่ยวรถขากลับ และซื้อตั๋วเอาไว้เลย จะได้แพลนเวลาเที่ยวที่เมืองนี้ถูก
ถึงแล้วววววววววว VILLA DE LEYVA ที่นี่บรรยากาศดี อากาศดี อาหารดี ที่พักดี แต่พื้น(ถนน)ไม่ค่อยจะดี
เมืองนี้น่ารักมากๆๆ บ้านช่องแทบทุกหลัง รูปทรงและการออกแบบจะคล้ายๆ กันหมด เป็นสไตล์แบบ Colonial
ถนนนี่เด็ดสุดแล้ว คือเค้าปูถนนด้วยการนำหินก้อนใหญ่ๆ มาวางเรียงกัน เวลาเดินเล่นก็เหมือนได้นวดฝ่าเท้าไปในตัว เวลารถวิ่งคนที่นั่งอยู่ในรถก็คงโยกไปเอนมา น่าสนุกดี แล้วลองนึกถึงเวลาที่รถพยาบาลวิ่งบนถนนหินนี่ด้วยความเร็วสูง พร้อมกับรีบพาผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาลสิ ไม่รู้ต้องล็อกคนป่วยในรถไว้กับเตียงแบบไหน ถึงจะสั่นสะเทือนน้อยที่สุด นึกภาพตามแล้วก็ โยกหัว โงนเงน ไปตามจังหวะ ดึ๋งๆๆๆ 55555
ตอนอยู่เมืองนี้เราเดินกันทั่วเลยจ้า ไม่ได้นั่งรถกันเลย เดินเล่นกันไปเรื่อยๆ เพลินมาก ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ เดินได้ทั่ว บรรยากาศดี อากาศหนาวกำลังดี บ้านเรือนน่ารัก เพราะเค้าคุมธีม คุมโทนกัน อิอิ
จัตุรัสกลางเมืองของเมืองนี้ เป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโคลอมเบียเลยน๊า แถมยังเป็นจัตุรัสที่ปูด้วยหินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้เลยด้วย เป็นแลนด์มาร์ค เป็นจุดนัดพบสำคัญของคนที่นี่ วิวงาม ลมแรงมาก หนาววววเลย ช่วงเย็นแถบนี้ก็จะคึกคัก คริ้นเครง คนเยอะแยะ
เดินเล่นกันจนท้องร้อง ก็เลยหาร้านอาหารเติมพลังกัน แล้วก็ได้เจอกับเสต็กชั้นดี ราคาน่าคบ คือถ้าใครมีโอกาสได้ไปที่นี่ ต้องไปกินร้านเสต็กร้านนี้นะ ห้ามพลาดเลย ร้านชื่อ DESAYUNO อยู่ตรงแยกสถานนีตำรวจ Estación de Policía Villa de Leyva เอาชื่อนี้ไปวางใน Google Maps ได้เลยจ้า
สั่งกันมาแบบจัดเต็ม หมดนี่ประมาณพันห้า (ดื่มเบียร์กันด้วยนะ)
หลังจากเพิ่มพลังด้วยอาหารรสเลิศเรียบร้อย ก็ออกมาเดินเล่นกันต่อ ออกจากร้านปุ๊ปก็พบกับ Villa De Leyva ในอีกบรรยากาศ เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ก็มีแสงสว่างจากหลอดไฟสีเหลืองนวลตลอดสองข้างทางเข้ามาแทนที่ ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศจากความน่ารัก ให้กลายเป็นความโรแมนได้ในบัดดล
ยามค่ำคืนที่จตุรัสกลางเมือง ในช่วงเวลาทไวไลท์
แล้วก็พากันเดินกลับที่พัก
แวะร้านขายของที่ระลึกระหว่างทาง
มีร้านขายของชำหลายร้ายอยู่ ห่อใสๆ ฉลากฟ้าๆ นั่น คือน้ำเปล่าที่ใช้ดื่มจ้า ใส่ถุงขายกันแบบนั้นแหละ 555 น่ารักดี
ที่พัก โรงแรมที่นี่ มีตัวเลือกให้เราเยอะมาก
สำหรับคืนนี้เราพักกันที่นี่จ้า คร่อก ZzzzZZzzZz
บ้านดินเผา CASA TERRACOTA
Hola Hola (คำทักทายภาษาสเปน) เช้าแล้วๆ และนี่คือวิวจากที่พักของเรา
ตึกรามบ้านช่องของที่นี่ก็จะคุมโทนประมาณนี้แหละ ส้ม ขาว เขียว
Mission ของเราในวันนี้คือพิชิต Casa Terracota กันจ้า จากที่พักของเรา ก็เดินตาม google map ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาที ก็ถึงแล้ว
Casa Terracota แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยมือของคุณลุงสถาปนิกที่ชื่อว่า Octavio Mendoza เค้าบอกว่าบ้านหลังนี้คือ เครื่องปั้นดินเผาชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Terracota เป็นภาษาสเปน แปลว่าเครื่องปั้นดินเผา) เป้าหมายในการสร้างบ้านหลังนี้ของ Mendoza ก็คือ เค้าอยากแสดงให้มวลมนุษยชาติได้เห็นว่า เราสามารถนำทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่รอบตัว มาแปรสภาพให้เป็นสถาปัยกรรมที่สามารถอยู่อาศัยได้ ตัวบ้านของที่นี่สร้างจากดินล้วนๆ ไม่มีส่วนผสมของเหล็กหรือปูนซีเมนต์เลย โอ้ว!!! เจ๋งเป้งมาก ที่มา : https://bit.ly/2P01Ekh
เสียค่าเข้าชมด้วยน๊าา คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณคนละ 100 บาท เฟี้ยวฟ้าวตั้งแต่ประตูทางเข้า
ดูจากด้านนอก ที่นี่เหมือนเครื่องปั้นดินเผาชิ้นยักษ์ที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียว และภูเขาลูกโต
มาดูด้านในกันบ้างนะ ว่าจะเป็นยังไง อยู่ได้จริงรึเปล่า
เฮ้ย!! มันอยู่ได้จริงๆ เว้ย มีสองชั้นนะ มีดาดฟ้าอยู่ ข้างในอากาศถ่ายได้ดี เย็นสบาย
มีเตาผิงด้วย น่ารักมาก
นี่คือส่วนของห้องกินข้าว ห้องครัว อยู่ชั้นล่าง เดินเข้าไปก็เจอเลย ของตกแต่ง ของใช้ต่างๆ ถ้าไม่ได้ทำจากดินเผา ก็จะทำมาจากเหล็ก
ดูเค้าใจตั้งใจในทุกรายละเอียดเลยอ่ะ ทุกมุมจะมีความน่ารักซ่อนอยู่
นี่คือส่วนของห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ที่ล้างหน้า ล้างมือ ก็จะตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผาสีสวย
ห้องนอน
นี่ชั้นดาดฟ้า ไว้สำหรับขึ้นมานั่งปาร์ตี้ชมดาว มีเตาปิ้งอยู่บนนี้ด้วย
เสร็จจาก Casa Terracota เราก็เดินกลับที่พัก เก็บกระเป๋า Check Out และนั่งรถกลับ Bogota แล้วเช้าวันต่อมาก็ขึ้นเครื่องไปประเทศตุรกีต่อไ
COLOMBIA ก็เราก็จบลงแต่เท่านี้แหละจ้า
ตอนที่ 3 TURKEY :
Istanbul ของฟรีและดีนั้นมีอยู่จริง
จาก BOGOTA ใช้เวลานั่งเครื่องบินมาลงที่เมือง ISTANBUL ประเทศ TURKEY นั่งไม่นานเท่าไหร่หรอก แค่ 15 ชั่วโมงเองจ้าาาาา (ประชด) นั่งกันจนตูดด้านเลย
เราใช้บริการของสายการบิน Turkish Airlines (ตั๋วโปรฯ เส้นทาง Manila-ฺBogota) แล้วสายการบินนี้เค้ามีบริการทัวร์ฟรีกับโรงแรมฟรีให้ด้วย (ถ้าเที่ยวบินเราอยู่ในเงื่อนไข) สำหรับที่ TURKEY ขอเล่าแบบคร่าวๆ แล้วกันนะ เพราะเคยเล่าแบบละเอียดไปแล้ว ในรีวิวนี้ > https://bit.ly/2YXRNAh
TURKEY เวลาจะช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง ค่าเงินมีหน่วยเป็น ลีร่า (TRY) โดย 1 ลีร่า ก็ประมาณ 8.50 บาท (APR 2018) ตอนนี้ถูกลงแล้ว ประมาณ 6 บาทเอง ไม่ต้องใช้วีซ่าด้วย
ขาไป (Manila to Istanbul) เราเลือกใช้บริการทัวร์ฟรี ที่เตอร์กีส แอร์ไลน์จัดให้ ชื่อว่า Touristanbul program เงื่อนไขการใช้บริการ ตามนี้น๊าาา
- บริการพาทัวร์เมืองอิสตันบูล ฟรี ของเตอร์กิช แอร์ไลน์ เค้าค่ะ เปิดให้บริการผู้โดยสารระหว่างประเทศของเตอร์กิช ที่ต้องมารอต่อเครื่องที่สนามบิน Atatürk เมือง Istalbul ตั้งแต่ 6 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งทริปนี้เราต้องรอต่อเครื่องกันประมาณ 20 ชั่วโมงแหนะ ตรงตามเงื่อนไข สามารถใช้บริการได้
- ทัวร์ที่เค้าพาไปก็รวมทุกสิ่ง ทั้งรถ ค่าเข้าชม และอาหาร 2 มื้อ (เช้า-กลางวัน) โดยรอบเวลาและสถานที่ที่พาไปสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ https://bit.ly/2IEVrq2
โดยเราเลือกใช้บริการฟรีทัวร์รอบ 09.00-15.00 น. นะ (เราสามารถใช้สิทธิ์โรงแรมฟรีได้ด้วย แต่ขาไปเราไม่รู้ เลยใช้บริการโรงแรมขากลับ) เมื่อแสดง boarding pass เรียบร้อย ว่าเรามี connect flight จริงๆ ก็รอประมาณ 8.30 น. ให้มา standby แถวหน้าเคาน์เตอร์
มีโบชัวร์แสดงโปรแกรมและแผนที่เป็นภาษาอังกฤษแจกให้ด้วย
เริ่มโปรแกรมทัวร์โดยพาไปทานข้าวเช้าเพิ่มพลังกันก่อน (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สายการบินดูแลให้) อาหารเช้าก็เป็นแบบง่ายๆ ค่ะ เช่น ขนมปัง แยม ไข่ต้ม ชีส ตามรูป ไม่ค่อยถูกปากคนไทยที่รักการกินอาหารรสจัดกับข้าวแบบเรา
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย ก็เริ่มทัวร์กันเลยจ้า
*ทัวร์ใแบบฉบับของ Touristanbul ก็จะเน้นเดินค่ะ เดินแบบรีบๆ แวะชมที่ละแปปๆ ชะโงกทัวร์ประมาณนั้น สถานที่ที่เค้าพาชม จะอยู่ไม่ไกลกันมาก*
Hippodrome ในอดีตก็คือสนามแข่งม้า แข่งกีฬา มีเสา Obelisk (โอเบลิสต์) อยู่ตรงกลางเพื่อแบ่งพื้นที่ลานออกเป็น 2 ฝั่ง ฮิปโปโดรมถูกทำลายลงในช่วงสงครามครูเสด ปัจจุบันก็ใช้เป็นที่พักผ่อนของชาวเมือง
เสาโอเบลิสก์ ปัจจุบันมีเหลือให้เห็นอยู่ 3 ต้น ในภาพนี้คือ “เสาโอเบลิสก์แห่งเธโดเซียส” (Obelisk of Theodosius) เสานี้สร้างมาจากหินแกรนิตสีชมพู ถูกนำมาจากวิหารลักซอร์ อียิปต์โน่น
ส่วนอีก 2 เสา ได้แก่ “เสางู” (Serpentine Column) และ “เสากษัตริย์คอนสแตนตินที่ 7” (Column of Constantine VII)
Blue Mosque หรือ Sultan Ahmet Mosque เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี ชื่อ “Blue Mosque” ชื่อนี้มีที่มาจากสีของกระเบื้องอิชนิตที่ใช้ประดับตกแต่งภายในอาคาร
ที่นี่คือสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาอิสตันบูล เป็นที่ที่เราอยากไปมาก แต่ช่วงที่เราไป ปิดปรับปรุง ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ค่ะ
ถ้าใครมีโอกาสได้เข้าชมภายในก็ต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบเค้าด้วยนะคะ โดยผู้หญิงต้องแต่งกายมิดชิดตามแบบฉบับของชาวมสุสลิม หากไม่ได้เตรียมมา ทางมัสยิดเค้ามีบริการให้ยืมฟรีค่ะ
ช่วงที่ไปที่อิสตันบูลลมีเทศกาลทิวลิปพอดีเลย สวยมากกก
Hagia Sophia (พิพิธภัณฑ์ฮาเยีย โซเฟีย) ผ่านเฉยๆ ไม่ได้เข้าชม สำหรับที่นี่แรกเริ่มเดิมทีถูกสร้างให้เป็นโบสถ์ค่ะ และต่อมาก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นมัสยิด ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์ที่ผสมระหว่างศิลปะของคริสต์และอิสามเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่นี่เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ด้วยนะ
Topkapi Palace (พระราชวังทอปกะปึ) ที่นี่กว้างขวางใหญ่โตเวอร์วัง และแบ่งเป็นหลายโซนมาก ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเลยค่ะ เดินเหนื่อย คนเยอะ อากาศเริ่มร้อน
หลังจากใช้เวลาเยี่ยมชมส่วนต่างๆ ของพระราชวัง ก็ได้เวลากินข้าวกลางวัน
ร้านอาหารที่เค้าพาไปก็จะอยู่ในบริเวณพระราชวังเนี่ยหละ บรรยากาศดีมากกกก มองเห็นทะเลมาร์มาร่าด้วย ชื่อว่าร้าน Konyali Restaurant
เสร็จจากตรงนี้ทัวร์ก็จะพาเราไปช้อปปิ้งที่ Grand Bazaar ค่ะ รอบนี้เรามาเล็งๆ กันไว้ก่อนว่าขากลับจะซื้ออะไรกันบ้าง
เดินตลาดเสร็จ เราก็แจ้งความจำนงกับหัวหน้าทัวร์ว่าขอแยกค่ะ เค้าก็ให้เซ็นต์ชื่อ เรียบร้อยแล้วก็เป็นอันสิ้นสุดความรับผิดชอบของหัวหน้าทัวร์ หลังจากนี้หากไปสนามบินไม่ทัน ตกเครื่อง ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง
กิจกรรมที่เราตั้งใจจะทำกันในช่วงเย็นก็คือการล่องเรือค่ะ
Bosphorus Cruise การล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส เป็นการล่องเรือที่ Amazing มาก เพราะช่องแคบนี้มันแบ่งแผ่นดินระหว่าง ทวีปยุโรป กับ ทวีปเอเซีย เชื่อมระหว่าง ทะเลดำ กับ ทะเลมาร์มาร่า มีความยาวประมาณ 32 กิโลเมตร
สำหรับใครที่สนใจมาล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ก็ให้นั่งรถรางมาลงที่สถานี Eminönü แล้วก็มุ่งหน้าไปบริเวณริมน้ำ ถ้าไปไม่ถูกก็ถามๆ เอา ไปไม่ยากหรอก
การล่องเรือของที่นี่มีหลายรูปแบบและหลายบริษัทมาก แบบที่เราเลือกก็คือล่องเรือชมวิวธรรมดาๆ ไม่ได้รวมอาหาร หรือลงเดินเที่ยวใดๆ ใช้เวลานั่งเรือกินลมชมวิว ชิวๆ 2 ชั่วโมง ค่าเรือคนละ 12 ลีร่า (ประมาณ 80 บาท) ถูกมาก เรือลำใหญ่เบิ้ม รู้สึกปลอดภัย มั่นใจ ได้มาตรฐาน
บรรยากาศริมฝั่งน้ำของแผ่นดินยุโรปและเอเชีย
ใช้เวลากับกิจกรรมนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง เรือก็กลับมาเทียบท่าตามเดิม เสร็จแล้วก็นั่งรถรางกลับไปสนามบินกัน
ขากลับ (ฺBogota to Istanbul) เราเลือกใช้บริการโรงแรมฟรีกันจ่ะ
ขากลับจาก Bogota เรามีเวลารอเปลี่ยนเครื่องที่ Istanbul อีกประมาณ 16 ชั่วโมง คราวนี้ไม่พลาดที่จะขอใช้สิทธิ์โรงแรมฟรี
กระบวนการก็ตามเดิม เหมือนตอนที่เราขอใช้บริการทัวร์ฟรี คือหลังจากผ่าน ตม. เรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปแจ้งความจำนงที่เคาน์เตอร์ Hotel Desk ของ Turkish เจ้าหน้าที่ก็จะขอดู Boarding Pass ว่าตรงตามเงื่อนไขหรือไม่
Hotel Service by Turkish Airlines
- ผู้โดยสารชั้นประหยัด ต้องมีเวลารอ Connect Flight ที่สนามบิน Atatürk 10 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ 7 ชั่วโมงขึ้นไป
- ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ทุกไฟล์ทต้องบินโดย Turkish Airlines
- โรงแรมก็แล้วแต่สายการบินจะจัดให้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็น 4-5 ดาว ค่ะ
หลังการแจ้งความจำนงเรียบร้อย ก็เจ้าหน้าที่รอเรียกไปขึ้นรถค่ะ
สำหรับโรงแรมที่เราได้ใช้สิทธิ์ในทริปนี้ ชื่อ Clarion Hotel เป็นโรงแรม 5 ดาว และก็เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางตลอด 12 วัน ของเราในทริปนี้เลย
ห้องนอนก็ประมาณนี้
หลังจากที่เรานั่งเครื่องบินกันมาอย่างทรหด ก็ขอนอนพักเอาแรงกันที่โรงแรมสุดหรูสักหน่อย พอได้ที่ ก็โบก Taxi ออกไป Shopping กันต่อที่ตลาด Grand Bazaar ชอปปิ้งจนหนำใจ หอบของกลับไปกันแบบอีรุงตุงนัง
ของฝากยอดฮิตของตุรกี ก็อย่างเช่น Turkish Delight ถั่วต่างๆ ถ้วน จาน ชาม โคมไฟ ลายสวยราคาถูก เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตุรกี
ช้อปปิ้งเสร็จก็โบก Taxi กลับโรงแรม แพคของจัดกระเป๋า แล้วก็นั่งรอให้รถมารับกลับไปสนามบิน เพื่อต่อเครื่องกลับไป Manila
จบแล้วทริปตุรกีของเรา มีโอกาสต้องกลับไปซ้ำอีกแน่นอน
ตอนที่ 4 PHILIPPINES :
Manila รถม้าและความโคโลเนียล
ก่อนจะกลับเมืองไทย เราต้องแวะมาต่อเครื่องที่ MANILA ประเทศ PHILIPPINES ก่อน ใช้เวลานั่งเครื่องบินจาก ISTANBUL มาประมาณ 12 ชั่วโมง ทริปนี้เหนื่อยกับการนั่งเครื่องมากๆ ไหนจะเวลาของแต่ละประเทศที่เหวี่ยงไป เหวี่ยงมาอีก กว่าถึงบ้านเนี่ยโคดเหนื่อยเลย (ไม่ได้อยากจะไปให้ได้ 4 ประเทศภายใน 13 วัน หรอกนะ แต่เส้นทางมันบังคับให้ต้องเดินทางแบบนี้) ตั๋วโปรฯ ก็แบบนี้แหละเลือกมากไม่ได้
ที่ฟิลิปปินส์ เวลาจะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ค่าเงินมีหน่วยเป็นเปโซ (PHP) ไม่ต้องใช้วีซ่า
Manila เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเมืองที่มีความหลากหลายมาก ทั้งสงบ ทั้งวุ่นวาย ทั้งแออัด ทั้งเจริญ เราที่นี่ 1 วัน 1 คืน ก่อนจะกลับบ้านกันจ้า
กว่าจะไปบินไปถึงก็มืดแล้ว จากสนามบิน โบก Taxi เข้าที่พัก Check in เอากระเป๋าไปเก็บ และก็ออกมาหาอะไรกินกันแถวๆ โรงแรมนั่นแหละ แล้วก็กลับโรงแรมนอน คร่อก zzZZzzzZz หมดแรง หัวถึงหมอนก็สลบกันเลย
เช้าวันต่อมาก็มาตะลอนเที่ยว ที่ Manila ตื่นเช้ามา เมื่อทุกคนพร้อมก็ไม่รอช้า โบก Taxi ให้ไปส่งที่ย่าน Intramuros เลย
Intramuros เมืองในกำแพง ล่องลอยของสถาปัตกรรมแบบ Colonial Style ที่ยังคงความสมบูรณ์เอาไว้มากๆ (Colonial Style คือสถาปัตยกรรมที่มาจาการเข้าไปยึดครองของชาติตะวันตก เกิดเป็นการสร้างบ้านเรือนสไตล์ยุโรป ที่ผสมผสานเข้ากับสถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่นของเมืองที่ตกเป็นอาณานิคม)
ที่นี่กว้างมาก เพราะในสมัยก่อนที่นี่คือเมืองค่ะ เมืองที่ถูกสร้างอยู่ภายใต้กำแพงสูง เพื่อป้องกันการรุกรานของข้าศึก สร้างโดยชาวสเปน ในอดีต นับว่าเป็นศูนย์กลางการปกครอง ภายในมีทั้งโบสถ์ โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ และสถานที่สำคัญต่างๆ ก็อยู่ภายในนี้ ถ้าอยากเที่ยวให้ทั่ว ก็ใช้บริการรถม้าเลยจ้า ราคาก็ต่อรองเอา ต่อให้ได้เยอะที่สุดนะ ขอเอาใจช่วย ให้ได้ราคาตามที่คุณพอใจ (ส่วนพวกเราเดินเที่ยวกันลูกเดียวเลยจ้า)
San Agustin Church (โบสถ์ซานอะกุสติน) โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในฟิลิปปินส์ สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง ยูเนสโก้ประกาศให้เป็นมรดกโลกด้วยนะ
ภายในโบสถ์สวยวิจิตร ตระการตา สวยงามมากกกกก
San Agustin Museum (พิพิธภัณฑ์ซานอะกุสติน) เป็นส่วนหนึ่งของ San Agustin Chruch นั่นแหละ
เสียค่าเข้า 200 เปโซ ข้างในก็จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ ที่นี่ดูภายนอกเหมือนเล็ก แต่พอเข้าไปด้านในนี่ต้องร้อง โอ้โห!! เมื่อไหร่จะเดินทั่วเนี่ย เพราะกว้างมากๆ
มีสวนอยู่ด้านในด้วย โคโลเนียน ยุโรปสไตล์มากๆ
Manila Cathedral (มหาวิหารมะนิลา)เป็นมหาวิหารโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1581 โน่นแหนะค่ะ เคยถูกทำลายมาแล้วหลายครั้ง แต่ปัจจุบัน ก็ได้รับการบูรณะจนกลายเป็นมหาวิหารแห่งเมืองมะนิลา มาจนทุกวันนี้
Fort Santiago (ป้อมซานติเอโก) ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ แต่จะว่าไปที่นี่ก็เหมือนเป็นสวนสาธารณะเลย
เกือบลืมเล่าถึงเจ้ารถ Jeepney (จี๊ปนีย์) รถโดยสารสาธารณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศฟิลิปปินส์ ใช้กันมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โน่น คือมันเฟี้ยวฟ้าว และเป็นเสน่ห์ที่มีเอกลักษณ์ มากเลยนะ เจ้ารถจี๊ปเนี่ย ใช้วิ่งกันทั่วบ้าน ทั่วเมือง
ส่วนเรื่องอาหารการกินที่นี่ก็คล้ายๆ บ้านเรานั่นแหละ Street Food เยอะมาก ของกินหาได้เกลื่อนกลาดดาดเดื่อน
นี่เป็นขนมหวานประจำชาติฟิลิปปินส์ เรียกว่า Halo Halo
หลังจากเดินเที่ยว Intramuros จนหนำใจ ก็พากันไปฝังตัวอยู่กับความเย็นของแอร์ที่ห้าง SM ไปซื้อของฝากจากประเทศสุดท้ายของทริปนี้กันที่ซุปเปอร์มาเก็ตในห้างเนี่ยแหละ จากนั้นก็กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม และก็โบก Taxi ตรงดิ่งไปสนามบินเลย
ทริปนี้สอนให้รู้ว่า มะนิลาร้อนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สำหรับ Philippines ของเราก็ขอจบลงเพียงเท่านี้แหละนะ จะได้กลับบ้านแล้วววววว
เมื่อล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ที่สุวรรณภูมิ ก็ขอเอ่ยคำว่า…..
สิ้ น สุ ด ก า ร เ ดิ น ท า ง
ตอนที่ 5 : บทสรุปของการเดินทาง
และรีวิวนี้ ก็ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายกันแล้วนะคะ
ในตอนนี้จะขอสรุปข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย และรายละเอียดอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งนี้ ตามนี้
เริ่มจากรายละเอียดต่างๆ ของทั้ง 4 ประเทศ
และข้อกำหนดของทุกสายการบินที่ใช้บริการในทริปนี้ก่อนเลย
**ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2018**
ตามมาด้วย ค่าเงินอัตราแลกเปลี่ยน ณ ช่วงเวลานั้น (Apr 2018)
และสุดท้าย..ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริปจ้า
*สำหรับเรื่องนี้ ดูเป็นไกด์ไลน์ก็พอเน๊าะ เพราะความพอใจในการเดินทางของแต่ละคนนั้นต่างกัน
คือจะไปให้ถูกกว่านี้ก็ได้ หรือจะไปให้แพงกว่านี้ก็ได้เช่นกัน*
แยกมาให้ดูเฉพาะค่าตั๋วเครื่องบิน
ถ้าถามว่าการเดินทางทริปนี้เหนื่อยมั๊ย??
ก็ตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยค่ะ ว่า..เหนื่อยมาก
แต่สิ่งต่างๆ รวมถึงความทรงจำ และประสบการณ์ที่ได้รับกลับมา
มันก็คุ้มค่ามากๆ เช่นกัน
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนถึงตรงนี้นะคะ
ไปมาแล้ว ไปมาแล้ว MACHU PICCHU
[[[MACHU PICCHU ระยะสั้น]]] 13 วัน แวะกัน 4 ประเทศ
ฝ้ายเอง