ฝ้ายยยย!! ทำไมอินเดียถึงมีหิมะ
ฝ้ายยย!! อินเดียมันหนาวขนาดนั้นเลยหรอ
ฝ้ายยย!! %&&)(_(_((&&*%%
ฝ้ายยย!! นั่นอินเดียจริงๆ หรอ
ใช่ค่ะ.. เพราะที่เราไป คือ อิ น เ ดี ย ใ น ตู้ เ ย็ น ::: F r o z e n I n d i a
GoPro Camera คือ Action Cam ตัวจิ๋ว ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการบันทึกเรื่องราว ในมุมมองที่แปลกใหม่ สะเทินน้ำ สะเทินบก ห้อยโหนโจนทะยาน หิมะ หรือ แดดจ้า ก็เก็บภาพมาได้
นี่แหละฝ้ายกับโกโปรคู่ใจไปไหนไปด้วยกันทุกที่ รักมากกก
ปล.เราคลั่งไคล้ GoPro มาก ตัวเล็ก พกสะดวก สะเทินน้ำสะเทินบก เหมาะกับ Life Style ตัวเองสุดๆ
และอีกอย่างที่ประทับใจคือบริการหลังการขายของ GoPro Thailand
เราใช้เจ้ากล้อง GoPro มาได้ปีกว่าแล้วล่ะ ใช้เป็นกล้องหลักเลย
ไปไหนก็พาไปด้วยทุกที่ GoPro ไม่เคยทำผิดหวังเลยจริงๆอุปกรณ์ที่ใช้ในทริปนี้ กล้อง GoPro 4 Silver
ไม้ Smatree S2 , ไม้ 3 ways (OME) , ชุดแบต smatree ,ตัวจุ๊บติดกระจก และโดมรีวิวนี้เป็นรีวิวกล้อง รีวิวภาพถ่ายนะคะ เลยจะไม่เน้นรายละเอียดการเดินทางและอื่นๆ
ยังไงถามกันเข้ามาได้ตลอดเลยนะ ยินดีตอบจ้าก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวเอกของเรื่องก่อนนะ Leh Ladakh
Ladakh คือดินแดนที่ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัยและที่ราบสูงคาราโครัม ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย
Leh คือเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์
Julley คือคำแสดงความเป็นมิตรของคนที่นี่ พูดให้ติดปากเข้าไว้ เพราะสิ่งที่จะได้รับกลับมา คือ รอยยิ้มพิมพ์ใจ
Plan การเดินทาง (เราเดินทางช่วงสงกรานต์ 9-18 เมษา 59)
ใช้ไปทั้งหมด9 วัน 9 คืน กับทริปนี้ ตามนี้
Day 1 : Delhi
Day 2 : Leh City
Day 3 : Nubra Valley
Day 4 : Pangong Lake
Day 5 : On The Way
Day 6 : Tso Moriri
Day 7 : Alchi Village
Day 8 : Agra City
Day 9 : Taj Mahal
เดลีกับอักขรา ถือเป็นโปรแกรมเสริม เพราะสองเมืองนี้อยู่ในเตาอบไม่ได้อยู่ในตู้เย็น
เราไป Focus ที่ อิ น เ ดี ย ใ น ตู้ เ ย็ น Leh Ladakh (Day 2-7) กันดีกว่า มาเริ่มกันเลย
เช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2559 ณ สนามบินอินทิรา คานธี , นิวเดลี
ท่านผู้โดยสารสายการบิน Go Air ที่จะเดินทางไป Leh ขณะนี้ Gate เปิดแล้วค่ะ (แปลเป็นไทยให้ฟัง)
พร้อมนะ มาด้วยกันสิ ขึ้นเครื่องบินไปด้วยกันเลย
Trick : ภาพนี้เราใช้ GoPro ยึดกับจุ๊บติดกระจก เวลา Timelapse จะได้ภาพนิ่งๆ
สำหรับเราการขึ้นเครื่องบินครั้งนี้ ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เห็นวิวยังงี้ ใครไม่ตื้นเต้นก็บ้าล่ะ และนี่คือคำทักทายจากเทือกเขาหิมาลัย
โคตรสวยเลย สวยจนจะร้องไห้ ไม่ได้บ้านะ แต่มันตื้นตันยังไงบอกไม่ถูก
ก็ Leh Ladakh คือ เมืองที่อยากมาเป็นอันดับ 1 ใน Bucket List Before I Die ของเรา
คือ ตื่นเต้นตั้งแต่วันเตรียมเสบียง ฉันจะได้ไป Leh Ladakh จริงๆแล้ว
Trick : ลองเอา GoPro ไปวางไว้ในรถเข็นดูสิ เล็งตรงๆ นะ
พอๆๆ เลิก Shopping แล้วกลับไป Leh ได้แล้ว เครื่องกำลังจะลงจอดแล้ว
“อีก 20 นาที เครื่องจะลงจอดที่สนามบิน Leh กรุณารัดเข็มขัด และเปิดหน้าต่างทุกบาน” แอร์แสนสวยประกาศเสียงตามสาย
ตอนนั้นฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่คงประมาณนี้ ฮาาาาาาาาาา
ตึ้ง ตึ้ง เมื่อล้อเครื่องบินกระทบกับ Runway หัวใจก็เต้นตึกตั๊กชัดเจนอีกครั้ง
และเมื่อประตูเครื่องบินเปิดออกนั่นหมายความว่า “ความฝันครั้งนี้ ฉันคว้ามันไว้ได้แล้ว”
ปล.1 รีวิวยาว ภาพเยอะ เลื่อนดูภาพอย่างเดียวก็ได้นะ
แต่ขอร้องเลยนะ เลื่อนไปดูให้ถึง ความคิดเห็นที่ 10 : Day 6 : Tso Moriri เพราะจุดพีคมันอยู่ตรงนั้น
ปล.2 บทสรุป คำแนะนำ และค่าใช้จ่ายต่างๆ อยู่ท้ายสุดจ้า
จากบรรทัดนี้ไป เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน โปรดเข้าไปอ่านในตู้เย็น เพราะที่นี่เป็น Frozen India
Day 2 : Leh City (ตู้เย็นช่องปกติ)
ที่นี่หนาวขนาดไหนหนะหรอ ลองจินตนาการว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ในตู้เย็นดูสิ แต่นั่งในช่องธรรมดาก่อนนะ อย่าเพิ่งเข้าไปในช่อง Freeze
แผนการเดินทางของเราวันนี้ จะยังไม่ไปไหนไกล จะเที่ยวในตัวเมือง Leh ก่อน เพราะต้องใช้เวลาในการปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับที่สูง
เนื่องจาก Leh อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก จึงทำให้มีออกซิเจนต่ำ เดิน 5 ก้าวก็เหนื่อยแล้ว
ต้องปรับสภาพร่างกายโดยการนอนนั่นเอง ขอย้ำ!! ว่ามาถึงที่พักแล้วนอนเลย อย่าเพิ่งออกไปเที่ยวไหนกัน นอน นอน นอน
สนามบิน Leh สนามบินขนาดกะทัดรัด ที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย
ไปเถอะ ไปตามหาที่พักกัน ขึ้นรถมาด้วยกันเลย
Trick : ยิ่งยาวยิ่งดี (ไม้ Pole) เก็บรถได้ทั้งคันค่ะ / เราชอบใช้โหมด Timelapse ถ่ายทุก 2 วินาที
นี่คือที่พักของเรา ทุกคืนที่อยู่เมือง Leh เราจะพักกันที่นี่ Sia-La Guesthouse
ป้าเจ้าของบ้านเป็นกันเองดี เป็นห่วงเป็นใยผู้มาใช้บริการ มีน้ำอุ่นแต่ไม่มีฮีตเตอร์ ห้องส้วมมาตราฐานสากล
ราคาคืนละประมาณ 500 บาท ต่อคน
หลังจากปรับสภาพร่างกาย (นอน) กันแล้ว ก็ออกไปเที่ยวกันสิ รออะไรล่ะ
การเดินทางหลักตอนอยู่ที่นี่คือรถเหมา ขนาดของรถก็แปรผันตามจำนวนคน
ราคามาตราฐานมากๆ อยู่ที่นี่ไม่มีคำว่า “โกง” จ้า
Leh Palace สถานที่ฮอตฮิตที่หลายคนต้องมาเยือนเมื่อมาถึง Leh
ในอดีต คือ พระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่ง Ladakh
อยู่ที่นี่แค่นั่งมองวิวเฉยๆ ก็มีความสุข เรานี่ยิ้มอารมณ์ดีตลอดทริปเลยว่ะ
ไม่ได้บ้านะ แต่ทุกองค์ประกอบของที่นี่มันทำให้เราสุขใจจริงๆ
Shanti Stupa อีกหนึ่งแลนด์มาร์กกลางเมืองของ Leh
นี่คือจุดชมวิวของที่นี่ ทุกอย่างมันดีอ่ะ
เสร็จจากเที่ยวชม 2 Landmark หลัก ก็ไปเดินเล่นในเมืองกัน
ลามะ!!! ตอนแรกตกใจมากที่ลามะมายืนข้างๆ ก็พระเมืองไทยใกล้ผู้หญิงไม่ได้นี่น่า แต่ลามะที่นี่อยู่ใกล้ผู้หญิงได้ค่ะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว…พูดพร้อมสิค่ะ สมายยยยยยยยย
วิถีชีวิตของผู้คนระหว่างทาง
ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน พ่อกับแม่ก็จะทำให้ลูกหลับสบายที่สุด
“รักของพ่อกับแม่คือรักที่ไม่มีเงื่อนไข” เราชอบภาพนี้
บ้านนี้เมืองนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมิตร รวมถึงเจ้าตูบนี่ด้วย
Trick : เอา GoPro ไปไว้ใกล้ๆ หน้าเจ้านี่ แล้วหัวมันจะโต แลดูน่ารัก
จุดนี้เรียกว่า Main Bazar แหล่งจับจ่ายใช้สอยของ Leh
ที่นี่สองทุ่มก็เงียบแล้ว อำลาค่ำคืนนี้ไปด้วยภาพนี้แล้วกัน
Trick : Gopro ใช้ถ่ายกลางคืนได้นะ แต่ต้องนิ่งมากๆ ยิ่งมีขาตั้งกล้องยิ่งดี
ภาพนี้เราใช้ Night Mode / Shutter : Auto
วันนี้หนาววว เหมือนอยู่ในช่อง Freeze เลย มีหิมะตกแบบน่ารักๆ ด้วย
Nubra Valley หุบเขาแห่งนี้มีหมู่บ้านพักพิงอิงแอบอยู่มากมาย และ Hunder Village กับ Disket Village คือ ที่ที่เราจะไปเยี่ยมเยือนKhardundla Top จุดสูงสุดในโลกที่รถสามารถวิ่งได้
โหหห…มองไปทางไหนก็ขาว สุดยอดไปเลยหวะ นี่อินเดียจริงๆ หรอ
เออ!! ก็ใช่หนะสิ..ก็แกมาเที่ยวอินเดียนิ
นั่นแนะ..มีหิมะอ่อนๆ โปรยปรายลงมาต้อนรับเราด้วย เปิดประตูรถ Check in ไว้ด้วยการฝากรอยเท้า ย้ำให้ตัวเองรู้ว่า “ข้ามาถึงแล้วนะ”
รถต้องแวะติดโซ่ที่ล้อ เพื่อลดการลื่นสไลด์ลงข้างทาง
หนาวแค่ไหน GoPro ก็ไม่เอ๋อ ดี๊ดีและแล้วก็มาถึง Nubra Valley
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่สัมผัสไม่ได้ในเมืองไทย
ธรรมชาติได้จัดองค์ประกอบของภาพที่เห็นตรงหน้าไว้อย่างโคตรอลังการ
มีทะเลทราย (Sand Dune) อยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะ มีอูฐให้ขี่ด้วย เนี่ยมันอะไรกันเนี่ย
ภูเขาหิมะ ทะเลทราย อูฐ ฟังดูไม่น่าไปด้วยกันได้
แต่ภาพตรงหน้า…..
เฮ้ย..นี่มันเกินคำว่าสวยไปเยอะเลย ไม่รู้จะอธิบายยังไง นี่มันของจริง หรือภาพวาด สวยงาม น่าค้นหา
ภาพวาดภาพนี้ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยศิลปินที่มีชื่อว่า .ธ ร ร ม ช า ติ.
เย็นมากแล้ว ไปเถอะ!! ไปขี่อูฐกัน ฮัทช่า ฮัทช่า
ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าอูฐ บ้านแกสวยมากๆ เลย อิจฉาแกจัง
Trick : ต้องมั่นใจก่อนนะว่าปลอดภัยค่อยเข้าไปถ่าย
ตำแหน่ง GoPro ให้อยู่ในมุมเกือบเสย ไม้ Pole ไม่ต้องดึงให้ยาวมาก
เด็กน้อยทะเลทราย คาวาอี้มว๊ากก
Diskit Village
หมู่บ้านนี้มี Diskit Gompa เป็นวัดประจำหมู่บ้าน มีพระศรีอริยเมตตรัยองค์ใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขา เป็นที่พึ่งทางใจให้กับคนที่นี่
บรรยากาศรอบด้าน ถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม..มองไปทางไหนก็ชื่นใจพระศรีอริยเมตตรัยองค์ใหญ่ น่าเลื่อมใสมากๆ
Trick : เราว่า Gopro เป็นกล้องที่ถ่ายย้อนแสงได้สวยมาก
ถ่ายมาก่อนแล้วค่อยมาดึงแสงเพิ่มนิดหน่อย รับรองงาม
ลามะกับแมวน้อย
บริเวณหนึ่งของ Diskit Gompa
และนี่คือที่พักของเราในค่ำคืนนี้ Habib Guest House : Hunder Village
ตกคนละประมาณ 400 บาท รวมอาหารเย็นเช้า แถมฟรี Wifi น้ำอุ่นบ้างไม่อุ่นบ้าง ฮีตเตอร์พื้นบ้านต้องคอยเติมฟืน
เจ้าของที่พักเค้าเลี้ยงอูฐด้วยล่ะ
Day 4 : Pangong Lake (Frozen India)
เกิดมาไม่เคยหนาวขนาดนี้เลย อย่างกับอยู่ในตู้แช่แข็ง Freeze อาหารส่งออก
สถานที่ที่โคตรอยากมา แค่ดูภาพผ่านทางรีวิวยังต้องร้องอุทานออกว่า
“อู้หู อู้หู อู้หู นี่อินเดียจริงๆ หรอ สักวันต้องไปให้ได้” และแล้ววันนี้ก็มาถึง
Pangong Lake ทะเลสาบน้ำเค็มอันกว้างใหญ่ที่อยู่สูงที่สุดในโลก
เค็มจริงรึเปล่าหนะหรอ นั่นนะสิ ทำไมตอนนั้นไม่ลองชิมดูล่ะ หื้มมม..เสียดาย
ขออวดวิวระหว่างทางก่อนนะ
ถ้ามีคนถามว่า Leh Ladkh ตรงไหนสวย
จิตใต้สำนึกคงสั่งให้ตอบกลับไปทันทีว่า “ที่นี่งดงามทุกตารางนิ้ว”
วิวที่นี่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจตลอดทาง เดี๋ยวภูเขาหิมะ เดี๋ยวภูเขาหิน
ดูสิ..ขนาดสะพานยังสวยเลย
อยู่ที่นี่หัวใจเต้นแรงตลอดเวลา เหมือนตอนมีความรักเลยอ่ะ
อร๊ายยย…เขินจุง
นั่งรถมานานเท่าไหร่ไม่รู้..รู้แค่ว่านานมาก
ถึงซะทีสินะ Pangong Lake
ความรู้สึกแรกที่ได้ออกไปสัมผัส เหมือนมีคนกำลังเอาน้ำแข็งมาวางบนหน้า เย็นชาไร้ความรู้สึก
“ทำไมมันหนาวขนาดนี้” หนาวจนต้องร้องขอชีวิต หนาวจนขี้มูกย้อยเหมือนโบจัง หนาวอย่างเดียวไม่พอ ลมนี่มาเต็ม
แต่บนความทรมานก็มีความสุขใจ เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ทำให้ลืมสิ้นซึ่งความหนาวเลยจ้า ยิ้มแก้มปริ
ทริปนี้มีกัน 4 คนนี่แหละค่ะ
พี่ผู้ชายคือผู้ชำนาญการด้านการท่องเที่ยว แถมยังถ่ายภาพสวยมากๆๆ ด้วย เลยถูกยกให้เป็นหัวหน้าทริป
พี่สาวเสื้อแดงคือนักเดินทางอาวุโส แต่เพิ่งเคยแบกเป้เที่ยวครั้งแรก เธออึดมากเลยนะ
น้องสาวเสื้อดำคือนักเดินทางฝึกหัด ตอนนี้กำลังตกหลุมรักการเดินอยู่ เพื่อนรักเราเอง
ส่วนยัยเสื้อเหลืองนั่นเราเอง
Trick : ภาพครึ่งบกครึ่งน้ำที่เห็นนี่ ใช้โดมเป็นอุปกรณ์เสริมค่ะ
อยากไปยึดติดว่าโดมต้องใช้แต่กับทะเล ใช้แต่กับสระว่ายน้ำเท่านั้น
ลองหามุมมองแปลกๆ แล้วก็จะได้ภาพมุมมองใหม่ๆ นังนี่หอบหิ้วไปจากเมืองไทยเลยทีเดียว เพื่อที่นี่ เพื่อภาพนี้
โอ้ว้าว!! ยิ่งใหญ่ อลังการ มีมนตร์เสน่ห์ น่าหลงใหล แม้สิ่งที่ได้เห็นยังไม่ตรงกับที่ใจอยากจะเจอ เพราะมาคนละช่วงเวลา
ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ที่ปรารถนา..
แต่ Pangong Lake ช่วงเวลานี้ก็น่าหลงใหลในแบบที่ควรจะเป็น
เปรียบเสมือนนางเอกละครนั่นแหละ ไม่ว่าจะเล่นบทไหน นางเอกก็คือนางเอก สวยงามตามท้องเรื่อง
ณ ช่วงเวลานั้นพื้นที่ในทะเลสาบส่วนใหญ่ยังมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่
สวยใช่มั๊ยล่ะ ไม่ต้องอ่านแล้วรีวิว ไปเปิด Web หาตั๋วเครื่องบินให้ไวเลย แล้วไปดูด้วยตาตัวเองเถอะ
ไปเที่ยวตอนยังหล่อนะ ยังมัวนั่งรอจนหน้าแก่ ลงรถทัวร์แวะฉี่ แล้วขึ้นรถ มันไม่สนุกหรอก เชื่อสิ
ความรู้สึกตอนนั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นใด รู้แค่เพียงว่า “ถ้ามีแฟนก็คงดี”
อุ๊ย!!! ไม่ใช่ล่ะ รู้แค่เพียงว่า.. “อยากอยู่ตรงนี้นานๆ”
วันนี้ฟ้าใส..คืนนี้เราออกมาดูดาวด้วยกันนะ
เห็นมั๊ยนั่นไง..ดาวเต็มฟ้าเลย
รางวัลจากฟากฟ้า แด่ค่ำคืนที่หนาวที่สุดในชีวิต
Trick : Night Mode / Shutter 30 วิ / 5 MP medium /Spot Meter OFF / WB 5500K /
Gopro Color / ISO 800
ทั้งนี้ทั้งนั้นการตั้งค่าต่างๆ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของสถานที่ ณ เวลานั้นด้วยนะ ลองปรับดูแล้วกัน
รู้แล้วใช่มั๊ย ว่า Gopro ใช้ถ่ายดาวได้ แต่อุปกรณ์เสริมที่สำคัญมากๆ คือ ข า ตั้ ง ก ล้ อ ง
และก็ต้อง Connect กับโทรศัพท์หรือรีโมทด้วยนะ
(เราเคยถ่ายติดทางช้างเผือกด้วยล่ะ ลองเข้าไปดูในรีวิวที่ Spoil ไว้สิ อวดๆ ฮ่า)
คืนนี้นอนที่นี่นะ Pangong Inn โรงแรมนี้ไม่มีฮีตเตอร์ ได้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ และก็โคตรหนาวเลย
ให้ตายเถอะโรบิน เกิดมาไม่เคยหนาวเท่านี้เลย ฮีตเตอร์ก็ไม่มี ห่มผ้าทีก็นึกว่าผีอำ ผ้าห่มทั้งหนาและหนัก
ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
ภาพนี้ถ่ายยากมาก พยายามได้เท่านี้จริงๆ มันหนาวเกิ๊นนนน
Trick : คล้ายภาพบน แต่เปิด Spot Meter เพื่อลดความสว่างของพระจันทร์ และก็ปรับ Shutter ให้ไวขึ้น
นอนละนะบายยยยยย มุดเข้าไปในผ้าห่มผีอำก่อน โอยยย!! หนาว หนาว หนาว
หน้าต่างห้องนอน มองออกไปเห็นวิวทะเลสาบเลยนะ แต่ลืมถ่ายรูปมา ผ่างงงงง
อุ๊ย!! มืด อุ้ย!!! ตู้เย็นไฟดับวาร์ปกลับไปเดลี
ระหว่างรอไฟมา มาชมภาพใน Delhi กันดีกว่า
จุดเทียนแพรบบ
Delhi ร้อนแค่ไหนหนะหรอ ลองจินตนาว่ากำลังนั่งอยู่ในตู้เย็นที่ไม่ได้เสียบปลั๊กดูสิ ทั้งอบ ทั้งอ้าว
BeeppBeeppBepppppppppppppppppp
เดลีต้อนรับเราด้วยเสียงแตร ที่นี่ค่อนข้างจะวุ่นวาย การจราจรไร้ระเบียบ แต่ผู้คนไม่ไร้น้ำใจ ขับรถปาดกันแค่ไหนเค้าก็ไม่ลงมาต่อยกัน
จากสนามบินเราเลือกใช้บริการ Taxi Pre Paid เพราะราคามาตราฐาน ปลอดภัย เชื่อใจได้
รถเขียวเหลืองหน้าตาคล้ายตุ๊กๆ บ้านเราที่นี่เค้าเรียกว่า “ริกชอร์”
อากาศร้อนเอามากๆเลย เมืองนี้ ร้อนจนจักแร้เปียกอับชื้น เหงื่อเยิ้มย้อยหยาดรินลงพื้น
อยู่เดลี ไม่ได้ไปไหนเลย เดินเล่นไปเรื่อยๆ เรียนรู้วิถีชีวิตผู้คน
คนที่ทำอาชีพขัดรองเท้ามีอยู่มากมายในเดลี
Trick : เวลาใช้ Gopro ถ่ายภาพลักษณะนี้ แนะนำให้ปรับลดความกว้างของภาพลง (5 MP / Medium)
ส่งท้าย Delhi ด้วยรอยยิ้มของเด็กน้อยสองคนนี้
ปิ๊งงง..ไฟมา
เฮ้ย!! ไฟติดแล้ว ตู้เย็นเริ่มกลับมาทำงาน ระหว่างรอตู้เย็นวอร์มเครื่องจนกลายเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง เราไป Agra กันดีกว่า
ถ้าเปรียบ Delhi อบอ้าวเหมือนตู้เย็นที่ไม่ได้เสียบปลั๊ก Agra ก็คงเทียบกับเมืองที่ตั้งอยู่ในเตาไมโครเวฟที่กำลังอุ่นอาหาร
มันอบอ้าวมากๆ ร้อนจนเพื่อนเราร้องไห้อ่ะ 5555
“ข้าไม่รู้ว่าข้าต้องขำ หรือว่าต้องสงสารเอ็งดีอะคะ” 5555555
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Agra
เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง “ทัชมาฮาล”
เมืองนี้ก็ต้อนรับเราด้วยเสียงแตรเช่นเคย ตามมาด้วยพี่บังที่แข่งขันกัน Hard Sale ขายสินค้าของตัวเอง เป็นเมืองที่ความสะอาดมีน้อย
(ยกเว้นในบริเวณทัชมาฮาล) และเป็นเมืองที่ Shopping ได้สนุกมากๆ ต่อราคาได้แบบบ้าระห่ำ ฝึกความอดทนระหว่างพี่บังพ่อค้ากับตัวเรา
ว่าใครจะมีความอดทนมากกว่ากัน
ค่าเข้าทัชมาฮาลสำหรับคนไทยอยู่ที่ 510 รูปี
Trick : ตั้งกล้องไว้เกือบติดพื้นเลยนะ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เก๋ๆ ดี
ตู้เย็นเริ่มเป็นน้ำแข็งแล้ว กลับไปที่เย็นๆ กันดีกว่า
ความหนาวของวันนี้อยู่ในระดับตู้เย็นในช่อง Freeze
ความงามมากมาย เรียงรายระหว่างทาง
ปลายทางคือจุดหมาย แต่ระหว่างทางคือเรื่องราว
ระยะทางจาก Pangong Lake ถึง Tso Moriri ค่อนข้างไกล เวลาส่วนใหญ่ของวันนี้ จึงหมดไปกับการเดินทาง
เมื่อคืนที่ Pangong Lake หนาวมาก หนาวจนนอนไม่ได้ (ที่พักไม่มีฮีสเตอร์) ถามว่าเพลียมั๊ย?? ง่วงมั๊ย?? ง่วงสิ เพลียสิ
แต่ด้วยทัศนียภาพสองข้างทาง ทำให้หลับไม่ลง…ฟ้าที่เป็นสีฟ้า
Trick : ถ่ายภาพลักษณะนี้ ต้องคอยเล็งจังหวะเลี้ยวไว้ให้ดี ภาพจาก Gopro ที่ว่ากว้างแล้ว
พอเลี้ยวปุ๊บมุมมองมันจะสวยขึ้น
ภูเขาที่ถูกหิมะปกคลุม ประกายสีขาวปุกปุยสะท้อนแดด
แม่น้ำทั้งสายที่กลายเป็นน้ำแข็ง หูยยย..วันนี้ขอกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเถอะ
วิ่งเล่นบนแม่น้ำ กระโดดโลดเต้นกลิ้งไปกลิ้งมา นี่มันแม่น้ำนะ ฉันได้วิ่งเล่นบนแม่น้ำ
ฉันคือเอลซ่า ฉันเป็นเอลซ่า พอๆ หมดเวลาแล้ว กลับมาโตได้แล้ว
เฮ้อ!!! หมดเวลาสนุกแล้วสิ หมดเวลาสนุกแล้วสิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Chang La Pass
จุดสูงสุดของเส้นทางสู่ทะเลสาบพันกอง ลงไปทำความรู้จักกันได้แค่แป๊ปเดียว ทนความหนาวไม่ไหวจริงๆ ให้ตายเถอะจอร์จ
Kyagar Tso
ทะเลสาบน้ำแข็ง ระหว่างทางก่อนถึง Tso Moriri นี่ก็คืออีกหนึ่งกำไรของทริปนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบเจอ แต่แล้วก็ได้พบกัน
ระหว่างจอดรถรอเค้าซ่อมทาง นี่คือแม่น้ำสินธุ (Indus)
คืนนี้เรานอนกันที่ Home stay ของชาวบ้าน แถวๆ Tso Moriri เป็นบ้านดินได้บรรยากาศทิเบตสุดๆ
วิวจากดาดฟ้าสามารถมองลงมาเห็น Tso Moriri ว้าว ว้าว ว๊าว
โอ๊ยยย..ยิ่งกว่าหนาวเรียกว่าอะไร
คืนนี้ไม่ว่าดาวจะสวยขนาดไหน ก็ไม่ไหวที่ออกไปเก็บดาว
นอนซุกตัวในผ้าห่ม 3 ชั้นดีกว่า บายยยยยยย
พรุ่งนี้เจอกัน Tso Moriri
ความหนาวของที่นี่เปรียบเหมือนตู้เย็นแบบไหนก็ได้ที่สามารถทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นน้ำแข็ง
จุดพีคของทริปอยู่ที่นี่ จุดพีคของทริปอยู่ที่นี่ จุดพีคของทริปอยู่ที่นี่
วันนี้ต้องยกให้เป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยนะ คุ้มค่า เกินคาด
สวยงาม ยิ่งใหญ่ เยือกเย็น น่าค้นหา
ความคุ้มค่าของทริปนี้อยู่ที่วันนี้
วันอื่นๆ..ถือว่าเป็นกำไรTso Moriri คือชื่อน้องสาวของ Baikal Lake
เธอสวยงาม น่าค้นหา ราวกับนางเอกเบอร์หนึ่งของบอลลีวู้ด แต่แปลกใจ…ทำไมถึงไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมชมความงามของเธอ
Tso Moriri ทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่กลายเป็นน้ำแข็ง จนสามารถลงไปวิ่งเล่นได้
ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมะ และเนินทราย กว้างไกลสุดลูกหู ลูกตา
ณ ช่วงเวลานั้น (กลางเดือนเมษายน) Pangong Lake ยังต้องยอมหลีกทางให้กับความงามของเธอ
สวยงาม..จนไม่รู้ว่าจะบรรยายออกมายังไง
ลองไปเห็นด้วยตาเองเถอะ คุ้มค่าแก่การนั่งรถมากกก คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
คราวหน้าพวกเธอไปกับเรามั๊ย..เราอยากไปที่นี่อีกวันนี้ต้องนั่งรถอีก 230 กิโล กว่าจะถึง Leh
ถึงเวลาต้องกลับ Leh แล้วหรอ ขอนั่งอยู่ต่ออีกแปปไม่ได้หรอ
ก็ได้ ก็ได้ กลับก็ได้ก่อนกลับขอฝากลามะน้อยไว้ในอ้อมใจด้วยจ้า
โอ๊ยย สวยๆๆ หลงรักตัวเองเวลาที่ได้ออกเดินทาง แลดูเป็นผู้หญิงที่มีความสุข
ยังๆ ยังไม่เลิก ยังไม่จบ
โอเคๆ ไปจริงๆ แล้วน๊าลาก่อนนะ Tso Moriri แล้วเราจะได้พบกันใหม่แน่นอน
ชอบความรู้สึกตอนนั้นจัง
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่ Leh Ladakh
งือออ..ไม่อยากจากที่นี่ไปเลย อาการเหมือนคนที่ต้องพลัดพรากจากคนรัก เว่อร์จริงๆ
ตกลงกันว่าวันนี้จะไปเที่ยวที่ Alchi Village เอาจริงๆ คือ ทริปนี้ไม่ค่อยจะมีแพลนหรอก ฮาาาาาาาาAlchi Village
หมู่บ้านเล็กๆ ที่ดอกไม้กำลังเบ่งบาน หมู่บ้านนี้มีนักเดินทางมาเยี่ยมเยือนอยู่ตลอด
มีร้านค้าเรียงรายสองข้างทาง ตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้านจนสุดที่ Alchi Gompa
Zanskar & Indus River Viewpoint
จุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำซันสการ์กับแม่น้ำสินธุ จะมีสีที่ต่างกันอย่างชัดเจน
บริเวณนี้อยู่ระหว่างทางจาก Leh City ไป Alchi Village
Moon Land
ตรงนี้มีลักษณะคล้ายพื้นผิวพระจันทร์ มาถึงจุดนี้ ใครๆ ก็ต้องแวะถ่ายรูป..ไม่รู้ทำไม เพราะเราก็แวะ
Lamayuru Monastery
วัดนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ตั้งอยู่บนเขาสูง มองลงมาเห็นหมู่บ้านลามายูรูได้ชัดเจน สวยงามมากๆ
Trick ถ่ายเป็นมุมกด ก็เก็บภาพได้งามอีกเช่นเคย ประหนึ่งว่าพกโดรนไปด้วย
Trick : วางตำแหน่งกล้องให้อยู่ตรงกลางระหว่างคนกับวิว เอนตัวลงไปหน่อย
วิวระหว่างทางอีกแล้ว
Trick : ยังไงเราก็คิดว่า Gopro ถ่ายย้อนแสงได้เลิศมาก
ส่วนนี่ร้านอาหารระหว่างทาง ประมาณว่าหิวเมื่อไหร่ก็จอด
กินอาหารกลางวันกันท่ามกลางสวนแอปปิคอต โรแมนติกสุดๆ
เราซื้อขนมจากไทยไปฝากเด็กน้อยที่ Leh เยอะแยะเลย
แต่มาเจอโรงเรียนเอาวันสุดท้าย วันที่ขนมใกล้หมดแล้ว ฮืออออ
ไม่เป็นไร..ไว้คราวหน้าพี่ซื้อมาฝากใหม่นะจ๊ะ ส่วนตอนนี้พี่ต้องไปจากที่นี่แล้ว ฮืออออออ
ฉันรักเธอเข้าแล้วสินะ Leh Ladkh
ก่อนไปอินเดียต้องทำวีซ่า
พี่เจ้าของเพจ Scratch da world / สองเท้า- เกาโลก เค้าทำไว้ดีมาก
(เรา inbox ไปถามนู่นที่นั่นเค้าตั้งหลายครั้ง) ขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
การทำวีซ่าอินเดีย : http://www.scratchdaworld.com/?p=1107แล้วก็ขอบคุณเพจ Leh Crazy ด้วยค่ะ สำหรับคำแนะนำต่างๆ
สุดท้ายขอบคุณ คุณ Toom LadyFirst ที่แนะนำอะไรต่างๆ มากมาย
ขอบคุณค่ะก่อนไปต้องเตรียมตัวยังไง??
– ออกกำลังกาย ร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนไปควรฟิตร่างกายให้พร้อม
เพราะ Leh Ladakh อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล จึงทำให้มีออกซิเจนต่ำ เดิน 5 ก้าวก็เหนื่อยแล้ว
– เชคสภาพอากาศให้ดี จะได้เตรียมตัวถูก
– โหลด maps.me แผนที่ offline ช่วยเราได้เยอะ เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณก็ใช้เปิดดูได้
– Check เที่ยวบินอยู่เรื่อยๆ เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงได้วางแผนถูก
– ตุนเสบียงที่คุ้นเคยจากเมืองไทยไปบ้าง ในกรณีที่อาหารที่นู่นไม่ถูกปาก
– Dark Chocolate ไว้เพิ่มพลัง เชื่อสิว่ามันช่วยได้เยอะ
– ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรค AMS (โรคแพ้ความสูง) อ่านไปให้พอรู้ว่าจะต้องรับมือยังไง แต่อย่าไปตื่นตระหนกกับมันมากเกินไป
จะทำให้เราเที่ยวไม่สนุกเอา เพราะมัวแต่กังวล
– ที่นู่นเราจะเจอแต่ผู้คนยิ้มง่าย ซื้อขนมจากไทยไปฝากพวกเค้าบ้างก็ดี
– เมื่อไปถึงนู่นถุงขนม อาหาร ที่เรานำไปจะพองตุ๊บป่อง จนแทบจะระเบิด พวกครีมก็เช่นกัน เปิดฝาทีนี่พุ่งกระจุยกระจาย
ดังนั้นควรแบ่งใส่ตลับเล็กๆ ที่มีฝาปิดไป
– ค่าเงินอินเดียจะถูกกว่าไทยประมาณครึ่งนึง เวลาซื้ออะไรที่นู่นก็เอา 2 หาร ก็จะได้ออกมาเป็นเงินไทย เช่น 100 รูปี = 50 บาท ประมาณนี้
– อยู่ที่ Ladakh จะมีไฟฟ้าสถิตย์ตลอดเวลา จะกลายเป็นคนไฟแรงสูง จับอะไรก็ช๊อต ช๊อตดังเปรี๊ยะๆๆ เลยการเดินทางภายใน Ladakh
เราเช่ารถพร้อมคนขับลูกเดียวเลย รถเช่าที่นี่ก็มีหลายขนาด แปรผันตามจำนวนคน ส่วนราคาจะมาตรฐานมากๆ
มีเล่มแสดงราคาให้ดู ไม่ต้องกลัวการโก่งราคาที่พัก
ที่พักในตัวเมือง Leh มีเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องจองก็ได้ เดินหาเอาเลย ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของ Guesthouse
ราคาต่อคนต่อคืนไม่เกิน 500 นี่คืออย่างดี ส่วนที่พักรอบนอกใน Ladakh ถ้าไม่ได้จองไป ก็บอกคนขับเลยว่าต้องการแบบไหน
เดี๋ยวเค้าจะแนะนำเราเอง
อาหารการกิน
ใน Ladakh เค้าไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์กันนะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารจำพวกแป้ง และมีผักบ้างประปราย
เฉลี่ยมื้อละ 40-200 คละๆ กันไป กินธรรมดาบ้าง กินร้านอาหารบ้าง
ปล.เราแทบไม่ได้กินอาหารตามร้านฮอตฮิตในรีวิวเลยอ่ะ ที่พักก็เช่นกัน เลือกเอาตามใจฉันมากๆ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำตามเค้านะ แต่อ่านไปแล้วจำไม่ได้ 555
แต่เราก็พบข้อดีจากตรงนี้นะ คือร้านที่ไม่ได้อยู่ในรีวิวก็อร่อยเหมือนกัน บางทีอาจถูกปากเรามากกว่าร้านที่มีคนแนะนำก็เป็นได้
ลองดูสิ ไม่ต้องทำตามแผนสนุกจะตาย
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
ทริปนี้เราไปกัน 4 คน หมดไปคนละประมาณ 29,000.- บาท (รวมวีซ่า รวมตั๋วเครื่องบิน)
– ค่าเครื่องบิน Spicejet (กทม.-เดลี) 10,329 บาท
– ค่าเครื่องบิน Goair (เดลี-เลห์) 4,776 บาท
– ค่าวีซ่า (อายุ 6 เดือน ใช้ได้ 2 ครั้ง) 2,255 บาท
– ค่าประกันเดินทาง 485 บาท
– ที่เหลือก็เป็นค่ากิน อยู่ เดินทางทั้ง 9 วัน ประมาณ 11,200 บาท
ถามว่ามันประหยัดได้อีกมั๊ย ได้มันประหยัดได้อีก แต่เราว่าบางทีประหยัดไปความสนุกก็ลดลง
บางเรื่องถ้าเราจ่ายไหวก็ยอมจ่ายไปเถอะ ไม่ได้ไปเที่ยวกันบ่อยๆ
ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคนมากค่ะ ทริปนี้สนุกมาก
ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำกับทริปในฝันของเรา
ถ้ามีคนถามว่า ห น า ว สุ ด ใ น ชี วิ ต คือที่ไหน อิ น เ ดี ย ก็คือคำตอบ
และถ้ามีคนถามว่า ร้ อ น สุ ด ใ น ชี วิ ต คือที่ไหน อิ น เ ดี ย ก็คือคำตอบและที่ขาดไม่ได้ ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนถึงตอนนี้ ขอบคุณจากใจจริงๆ
ไม่รู้จะแสดงความจริงใจออกมาทางข้อความยังไง
เอาเป็นว่าขอมอบยิ้มหวานๆ นี้ให้แทนคำขอบคุณละกัน
ยิ่งออกเดินทาง ยิ่งค้นพบตัวเอง